แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39 มาตรา 44 และมาตรา 45 นั้น ผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเป็นผลจากการที่ของซึ่งได้รับมอบจากผู้ส่งของเสียหายโดยเหตุแห่งความเสียหายเกิดขึ้นในระหว่างที่ของนั้นอยู่ในความดูแลของตน จึงไม่ใช่ต้องรับผิดเพียงเฉพาะมูลค่าสินค้าที่เสียหาย แต่ยังต้องรับผิดถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้รับตราส่งได้รับจากผลแห่งความเสียหายของสินค้าด้วย ค่าภาษีศุลกากรและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์จำเป็นต้องจ่ายในการนำเข้าสินค้า เมื่อสินค้าเสียหายทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ โจทก์ไม่อาจนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาคิดเป็นต้นทุนในการขายสินค้าเพื่อให้ได้ทุนคืน และโจทก์เสียโอกาสในการขายให้ได้กำไร ดังนั้น ค่าใช้จ่ายดังกล่าวรวมทั้งค่าขาดกำไรย่อมเป็นความเสียหายที่เป็นผลจากความเสียหายของสินค้าที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,619,702.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,510,453 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 10,250 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในกรณีที่จำเลยทั้งสองจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินไทย ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ขายให้ลูกค้าในวันที่ใช้เงินจริง หากไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ใช้เงินจริง ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราเช่นว่านั้นก่อนวันดังกล่าว ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศแจ้งอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ (อัตราอ้างอิง) ก็ให้ถืออัตราดังกล่าวเป็นเกณฑ์คำนวณ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับกันและไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ยุติเป็นเบื้องต้นว่า โจทก์ซื้อสินค้าเนื้อมะพร้าวอบแห้งจากผู้ขายในประเทศอินโดนีเซีย 88,000 กิโลกรัม ในราคา 154,000 ริงกิตมาเลเซีย ผู้ขายได้บรรจุสินค้าในกระสอบพลาสติกแล้วนำเข้าบรรจุในตู้คอนเทนเนอร์มอบให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2552 เพื่อให้จำเลยที่ 1 ขนส่งสินค้าจากประเทศอินโดนีเซียนำมาส่งมอบแก่โจทก์ในประเทศไทยที่ท่าเรือกรุงเทพ จำเลยที่ 1 บรรทุกสินค้าลงเรือลินตัส มาฮาคาม เที่ยวเรือ 029 ออกเดินทางจากท่าเรือในประเทศอินโดนีเซียไปยังท่าเรือในประเทศสิงคโปร์ จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ขนส่งต่อโดยขนถ่ายสินค้าลงเรือวันไห่ 162 เพื่อขนส่งต่อมายังท่าเรือกรุงเทพ และเรือมาถึงท่าเรือกรุงเทพวันที่ 31 สิงหาคม 2552 ต่อมาโจทก์ไปดำเนินพิธีการทางศุลกากรแล้วรับสินค้าออกจากท่าเรือกรุงเทพ แต่เมื่อนำมาตรวจดูพบว่าสินค้าเนื้อมะพร้าวอบแห้งมีราขึ้นเสียหายทั้งหมด
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเห็นสมควรวินิจฉัยรวมกันไปว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้า หรือไม่ต้องรับผิดโดยความเสียหายไม่ได้เกิดจากความผิดของจำเลยทั้งสองหรือไม่ได้เกิดจากความผิดในการหีบห่อสินค้าของผู้ส่งหรือไม่ รวมทั้งจำเลยทั้งสองต้องรับผิดในการส่งมอบล่าช้าเพียงใดหรือไม่ จากการพิจารณา พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง จึงฟังไม่ได้ว่า เหตุที่สินค้าเสียหายมีราขึ้นนี้เกิดจากความผิดของผู้ส่งในการบรรจุหีบห่อสินค้า และฟังได้ว่าสินค้าเสียหายในระหว่างสินค้าอยู่ในความดูแลของจำเลยทั้งสองโดยความผิดของจำเลยทั้งสอง ซึ่งแม้ลักษณะความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นกรณีขนส่งล่าช้ากว่าที่ควรก็ตาม แต่เมื่อความล่าช้านี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้สินค้ามีราขึ้นเสียหาย จำเลยทั้งสองย่อมต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าต่อโจทก์ผู้รับตราส่งไม่ใช่กรณีที่ต้องรับผิดเพียงเพราะการส่งมอบล่าช้าดังเช่นที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยไว้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ทั้งเมื่อสินค้ามีน้ำหนัก 88,000 กิโลกรัม ซึ่งหากคิดจำกัดความรับผิดตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 58 ก็มีจำนวนจำกัดความรับผิดสามสิบบาทต่อกิโลกรัม เป็นเงิน 2,640,000 บาท แต่เมื่อจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องมาตามคำฟ้องเป็นต้นเงินเพียง 1,510,453 บาท น้อยกว่าจำนวนเงินที่จำกัดความรับผิดอยู่แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับการจำกัดความรับผิดของจำเลยทั้งสองผู้ขนส่งแต่อย่างใด เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายในความเสียหายของสินค้าตามที่กล่าวอ้างในคำฟ้องเพียงใดหรือไม่นั้น เป็นปัญหาที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังไม่ได้วินิจฉัยไว้ เนื่องจากศาลดังกล่าววินิจฉัยในเรื่องการส่งมอบล่าช้าเท่านั้น แต่เมื่อคู่ความนำสืบพยานหลักฐานมาเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่ต้องย้อนไปให้ศาลดังกล่าวพิพากษาใหม่ โดยเห็นว่าความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่น ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39 มาตรา 44 และมาตรา 45 นั้น ผู้ขนส่งและผู้ขนส่งอื่นต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเป็นผลจากการที่ของซึ่งได้รับมอบจากผู้ส่งของเสียหายโดยเหตุแห่งความเสียหายเกิดขึ้นในระหว่างที่ของนั้นอยู่ในความดูแลของตน จึงไม่ใช่ต้องรับผิดเพียงเฉพาะมูลค่าสินค้าที่เสียหาย แต่ยังต้องรับผิดถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้รับตราส่งได้รับจากผลแห่งความเสียหายของสินค้าด้วย โดยค่าเสียหายจากการที่โจทก์ต้องเสียภาษีศุลกากรก็ดีและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งก็ดี เป็นค่าใช้จ่ายที่โจทก์จำเป็นต้องจ่ายในการนำเข้าสินค้า เมื่อสินค้าเสียหายทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ ไม่อาจนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาคิดเป็นต้นทุนในการขายสินค้าเพื่อให้ได้ทุนคืน และเสียโอกาสในการขายให้ได้กำไร ดังนั้น ค่าใช้จ่ายดังกล่าวรวมทั้งค่าขาดกำไรย่อมเป็นความเสียหายที่เป็นผลจากความเสียหายของสินค้าที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ มิใช่เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องดังที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ และเมื่อโจทก์นำสืบโดยตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงและคำเบิกความของนายภูมิลาภประกอบเอกสารใบเสร็จรับเงินค่าภาษีจำนวน 57,200 บาท ใบวางบิลและใบเสร็จรับเงินค่าใช้จ่ายในการขนส่งจำนวนรวม 59,133 บาท และค่าขาดกำไรที่โจทก์ขอคิดเพียงกิโลกรัมละ 1 บาท รวม 88,000 กิโลกรัม เป็นเงิน 88,000 บาท เมื่อเทียบกับราคาสินค้า 1,475,320 บาท นับว่าต่ำอยู่แล้ว เชื่อได้ว่าโจทก์เสียหายไม่น้อยกว่าจำนวนที่เรียกร้องค่าขาดกำไรดังกล่าวจริง ส่วนราคาสินค้าซึ่งจำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจริง แต่อ้างและนำสืบเพียงว่าสินค้าไม่ได้เสียหายโดยสิ้นเชิงเท่านั้น ซึ่งในข้อนี้นายภูมิลาภพยานโจทก์ยืนยันว่าสินค้าเสียหายทั้งหมด 88,000 กิโลกรัม โดยแสดงภาพถ่ายสินค้าที่มีราขึ้นประกอบ ส่วนนายปกรณ์พยานจำเลยทั้งสองอ้างว่าสินค้าเสียหายเพียงบางส่วน เมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายภูมิลาภประกอบภาพถ่ายดังกล่าวแล้วมีเหตุผลให้น่าเชื่อมากกว่าพยานจำเลยทั้งสอง ฟังได้ว่าสินค้าเสียหายทั้งหมด จึงคิดเป็นเงิน 1,475,320 บาท และโจทก์ยังขายซากได้เป็นเงินจำนวน 169,200 บาท คงเหลือค่าสินค้าเสียหาย 1,306,120 บาท ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามคำฟ้องรวมเป็นเงิน 1,510,453 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2552 ถึงวันฟ้องอีกจำนวน 109,249.20 บาท รวมเป็นเงิน 1,619,702.20 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,619,702.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,510,453 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ชำระทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความสองศาลรวม 10,000 บาท