คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทมาตราที่ศาลชั้นต้นกำหนดแล้วลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้ทั้งด้ามและตัวมีดยาวเพียง 1 คืบ แทงผู้เสียหายไป 1 ที ขณะชกต่อยกัน แล้วมิได้แทงซ้ำอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย ๑ ที ถูกที่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายได้รับอันตรายแก่กาย โดยจำเลยมีเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผล เพราะแพทย์ทำการรักษาไว้ทัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐
จำเลยให้การว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีไม่เป็นการป้องกัน แต่จำเลยแทงผู้เสียหายโดยบันดาลโทสะ พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา ๗๒ ลงโทษจำคุก ๖ เดือน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นกรณีวิวาทกัน จำเลยจะอ้างเหตุบันดาลโทสะไม่ได้ และจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ จำคุก ๖ เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วแก้บทมาตราที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน ๑ ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙ ในชั้นนี้คงมีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗หรือฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐ พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๒ บัญญัติว่า ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งคดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยใช้มีดปอกผลไม้ทั้งด้ามและตัวมีดยาวเพียง ๑ คืน แทงผู้เสียหายไป ๑ ที ขณะชกต่อยกันแล้วมิได้แทงซ้ำอีก แสดงว่าไม่มีเจตนาจะฆ่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมาแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีเช่นนี้จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ เท่านั้น แต่ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา ๒๘๘, ๘๐ ดังที่โจทก์ฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share