คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 184/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 คืนเงินค่าจ้างและชำระค่าปรับรวมเป็นเงิน 243,510 บาท ให้จำเลยทั้งสอง โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นบังคับให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ชดใช้ให้จำเลยดังกล่าว จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะในประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาและมิได้บังคับให้โจทก์ที่ 1 ที่ 4 คืนเช็คให้จำเลยทั้งสองเป็นการไม่ชอบ ดังนี้ ประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 2 ที่ 3 จะต้องคืนเงินค่าจ้างให้กับจำเลยเท่าใด จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 คืนเงินค่าจ้างให้จำเลยเพิ่มขึ้น หรือลดลงผิดไปจากที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นค่าจ้างทำถังขยะ และค่าตะแกรงใส้ในของถังขยะ รวม ๔ ฉบับ เช็คดังกล่าวรับเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยชำระเงิน ๑๗๐,๖๓๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยจ่ายเช็คทั้ง ๔ ฉบับให้บริษัทไทยเจริญดี เพื่อนำไปซื้อวัสดุและจ่ายค่าแรงงาน แต่บริษัทไทยเจริญดีผิดสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คซึ่งได้สมคบกับโจทก์นำเช็คดังกล่าวมาฟ้องจำเลย เพื่อฉ้อโกงจำเลย
สำนวนที่ ๒ จำเลยในสำนวนแรกกลับมาเป็นโจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ว่าจ้างให้บริษัทไทยเจริญดี จำเลยที่ ๑ และนายเจริญในฐานะผู้แทนบริษัทจำเลยที่ ๑ ทำถังขยะโดยจ่ายเงินสดและเช็ค ๔ ฉบับให้จำเลยทั้งสองไปแล้ว แต่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์ถูกเทศบาลปรับเป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาท และโอนเช็คให้จำเลยที่ ๓ (โจทก์สำนวนแรก) และจำเลยที่ ๔ (ตัวแทนหรือลูกจ้างจำเลยที่ ๓) โดยคบคิดก้อฉ้อโกงโจทก์ จึงต้องคืนเช็คหรือใช้เงินตามเช็ค ๑๖๗,๕๐๐ บาท ให้โจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้เงิน ๔๙๓,๑๐๐ บาท และค่าปรับวันละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะมอบถังขยะเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสี่คืนเช็ค ๔ ฉบับตามฟ้องถ้าไม่คืนให้ใช้เงิน ๑๖๗,๕๐๐ บาท (ซึ่งรวมอยู่ในยอดเงิน ๔๙๓,๑๐๐ บาท) ให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิปรับจำเลย และโจทก์ยังไม่ชำระค่าถังอีก ๓๓๕ ชุด เป็นเงิน ๑๐๓,๘๕๐ บาท จึงขอให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าว
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ให้การว่าไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และไม่เคยได้รับมอบเช็คจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ความจริงโจทก์ว่าจ้างจำเลยทำถังขยะและจ่ายค่าจ้างเป็นเช็ค โดยจำเลยที่ ๒ ค้ำประกันให้แต่เช็คขึ้นเงินไม่ได้
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยว่าจ้างจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และโจทก์ไม่ผิดสัญญา
ชั้นพิจารณาเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาคดีทั้งสองรวมกันแล้วให้เรียกห้างหุ้นส่วน ช.บรรยงกิจก่อสร้าง (โจทก์สำนวนแรก) เป็นโจทก์ที่ ๑ บริษัทไทยเจริญดี (จำเลยที่ ๑ ในสำนวนที่สอง) เป็นโจทก์ที่ ๒ นายเจริญ (จำเลยที่ ๒ ในสำนวนที่ ๒) เป็นโจทก์ที่ ๓ นายบรรยง (จำเลยที่ ๓ ในสำนวนที่ ๒) เป็นโจทก์ที่ ๔ และให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดสุพรก่อสร้าง (จำเลยในสำนวนแรกและโจทก์ที่ ๑ ในสำนวนหลัง) เป็นจำเลยที่ ๑ นางสุพร (โจทก์ที่ ๒ สำนวนหลัง) เป็นจำเลยที่ ๒
ศาลขั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๑๖๗,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ คืนเงินค่าจ้าง ๑๔๓,๕๑๐ บาท และชำระค่าปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยทั้งสอง ข้อหาฟ้องของโจทก์จำเลยนอกจากนี้ให้ยกเสียทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ขอให้บังคับให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ่ชำระค่าปรับที่จำเลยถูกเทศบาลปรับเป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาท กับค่าปรับฐานผิดสัญญาอีกวันละ ๑,๐๐๐ บาท และให้โจทก์ทั้งสี่คืนเช็ค ๔ ฉบับให้แก่จำเลยทั้งสองด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ต้องใช้เงินตามเช็คพิพาท ๔ ฉบับ เป็นเงิน ๑๖๗,๕๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ ให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ คืนเช็คพิพาทให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ต้องคืนเงินค่าจ้างทำถังขยะ ๑๔๓,๕๑๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ แต่ให้โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อีกโสดหนึ่งโดยให้หักจำนวนเงิน ๒๓,๙๙๐ บาท (ค่าจ้างทำถังขยะที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๓ ยังไม่ได้รับจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒) ออกเสียก่อน คงเป็นค่าเสียหายที่โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ต้องใช้ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเงิน ๑๘๖,๐๑๐ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินตามเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ และจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ ได้รับเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับไว้โดยสุจริตเพื่อการชำระหนี้ จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบ จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกเช็คพิพาทคืน ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น และวินิจฉัยต่อไปว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ คืนเงินค่าจ้าง ๑๔๓,๕๑๐ บาท และชำระค่าปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๔๓,๕๑๐ บาท ให้จำเลยทั้งสอง โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ และจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นบังคับให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ใช้ให้จำเลยดังกล่าว จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะในประเด็นที่ว่า ศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา และมิได้บังคับให้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๔ คืนเช็คให้จำเลยทั้งสอง เป็นการไม่ชอบ ดังนั้นประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ จะต้องคืนเงินค่าจ้างให้กับจำเลยเท่าใด จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ ต้องคืนเงินค่าจ้างให้จำเลยเพิ่มขึ้น หรือลดลงผิดไปจากที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดแล้วหาได้ไม่ เพราะเป็นการวินิจฉัยในประเด็นที่คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ (ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุพรก่อสร้าง) ชำระเงินตามเช็คพิพาท ๔ ฉบับให้โจทก์ที่ ๑ (ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.บรรยงกิจก่อสร้าง) จำนวน ๑๖๗,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความสามศาล ๘,๐๐๐ บาทแทนโจทก์ที่ ๑ ให้โจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ (บริษัทไทยเจริญดีจำกัด และนายเจริญ ด่านนำดี) คืนเงินค่าจ้าง ๑๔๓,๕๑๐ บาท และใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาอีก ๒๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๕๓,๕๑๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ (ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุพรก่อสร้าง และนางสุพร ชาติภิญโญ) นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share