แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้ไม้ระแนงตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามและใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดที่สืบเนื่องติดพันกันจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2519 เวลากลางคืน จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือ ก. จำเลยกับพวกอีก 2 คนมีไม้ระแนงเป็นอาวุธบังอาจร่วมกันชกต่อย เตะ และใช้ไม้ระแนงตีทำร้ายนายจารึก สุนทร หรือสุขธรจนได้รับอันตรายแก่กาย และ ข. ในวันเวลาเดียวกับข้อ ก. หลังจากเกิดเหตุในข้อ ก. แล้ว จำเลยได้บังอาจใช้อาวุธปืนยิงนายจารึกผู้เสียหาย 1 นัด โดยเจตนาฆ่าให้ตาย แต่กระสุนปืนไม่ถูกนายจารึกผู้เสียหาย นายจารึกผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 295, 288, 80, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514ข้อ 2
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 295, 83 กรรมหนึ่งจำคุก 1 เดือน และตามมาตรา 288, 80, 83 อีกกรรมหนึ่ง จำคุก 10 ปี รวมจำคุก10 ปี 1 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง แต่เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยตามมาตรา 288, 80 มีกำหนด 10 ปี
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหลายกรรมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ส่วนปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะที่ผู้เสียหายยืนคุยอยู่กับนางสาวติ๋มที่หน้าประตูโรงภาพยนตร์ ได้ถูกนายต๋องพวกของจำเลยชกล้มลง จำเลยเดินออกมาจากประตูโรงภาพยนตร์ใช้ไม้ระแนงตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายลุกขึ้นได้วิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตาม และใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดที่สืบเนื่องติดพันกัน จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่จำเลยอายุ 18 ปี ขณะกระทำความผิดศาลฎีกาลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง
พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้ 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์