คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1837/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับ ร. ขู่บังคับผู้เสียหายให้ยอมร่วมประเวณีโดยจำเลยใช้อาวุธปืนไม่มีทะเบียนของจำเลยจี้ผู้เสียหาย เมื่อสามีผู้เสียหายไปตามพลตำรวจ ส.มาจับกุมส. เอาปืนดังกล่าวจากเอวร. มาเก็บไว้โดยถอดกระสุนปืนออกหมดแล้วจำเลยเข้าแย่งเอาปืนคืนจาก ส.ยกขึ้นจ้องยิงที่หน้าอกส.ดังแชะสามครั้ง ดังนี้พฤติการณ์ที่จำเลยกับ ร. ผลัดกันใช้อาวุธปืนของกลางเช่นนี้ถือว่าร่วมกันมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพกพาโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยที่ใช้ในการกระทำผิดอีกกระทงหนึ่ง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 81, 83, 91, 284, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา81, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ข้อหาพยายามฆ่าให้ลงโทษจำคุก 25 ปี ข้อหามีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ข้อหาพกพาอาวุธปืนจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 26 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์เป็นอันยุติ ส่วนความผิดฐานอื่นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกับนายระวีถูกจับกุมพร้อมด้วยอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางในวันเกิดเหตุที่เกิดเหตุด้วยกันนายระวีถูกแยกฟ้องต่างหากและศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษในความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว จำเลยซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารพรานและเมาสุรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้ขู่บังคับผู้เสียหายเพื่อให้ยอมไปร่วมประเวณี ครั้งหลังใช้ยิงพลตำรวจสุริยัน โดยครั้งแรกจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนพกจี้ที่หน้าอกผู้เสียหาย นายระวีเป็นคนรัดคอ ในครั้งที่สองเมื่อพลตำรวจสุริยันกับนายคำตาออกติดตามพบจำเลยกับนายระวีแล้วพลตำรวจสุริยันได้เอาอาวุธปืนของกลางมาจากนายระวี มาเก็บพกไว้ที่เอว จำเลยเข้ามาขออาวุธปืนคืน พลตำรวจสุริยันไม่ยอมคืนให้ พลตำรวจสุริยันเอากระสุนปืนออกจำเลยพยายามเข้าไปหาพลตำรวจสุริยันเพื่อขออาวุธปืนคืนอีก ต่อมาระหว่างที่พลตำรวจสุริยันบอกให้นายคำตาไปตามเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุ จำเลยได้แย่งเอาอาวุธปืนไปได้ แล้วยิงพลตำรวจสุริยันเสียงดังแชะรวม 3 ครั้ง คดีฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนทั้ง 2 ครั้ง โดยเฉพาะในตอนยิงพลตำรวจสุริยันที่บริเวณหน้าบ้านนายชมภูนุช แต่กระสุนปืนไม่ลั่นโดยพลตำรวจสุริยันถอดเอากระสุนปืนออกเสียก่อนนั้น พลตำรวจสุริยันได้ยึดอาวุธปืนที่จำเลยใช้ยิงไว้เป็นของกลาง ทั้งได้ความว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับดังนี้ แม้ได้ความจากพลตำรวจสุริยันว่า ก่อนหน้าที่จำเลยจะแย่งเอาอาวุธปืนของกลางไปและยิงพลตำรวจสุริยันนั้น พลตำรวจสุริยันได้ยึดเอาอาวุธปืนของกลางมาจากนายระวีก็ตาม แต่ผู้เสียหายกับนายคำตายืนยันว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนพกจี้ผู้เสียหายตั้งแต่ก่อนพลตำรวจสุริยันพบจำเลย เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยกับนายระวีผลัดกันใช้อาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียนเช่นนี้ ถือว่าร่วมกันมีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพกพาอาวุธปืนของกลางไปในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว…..การที่จำเลยใช้อาวุธปืนนั้นยิงพลตำรวจสุริยัน จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าพลตำรวจสุริยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ และการกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท้โดยปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิด เพราะพลตำรวจสุริยันถอดเอากระสุนปืนออกเสียก่อนอีกกระทงหนึ่งด้วย
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นปรับบทความผิดในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 81 นั้น เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทความผิดตามมาตรา 288 อีก
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ไม่ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288.

Share