คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1833/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำเบิกความของพยานจะมีข้อความหมายให้เห็นไปในทำนองเสียดสีดูหมิ่นศาล แต่เมื่อข้อความตามคำเบิกความของพยานเกิดขึ้นจากการตอบคำถามของศาลหรือของโจทก์จำเลยอันเป็นประเด็นที่คู่ความนำสืบกันมาในคดี ดังนี้ จะถือว่าพยานถือโอกาสเบิกความก้าวร้าว เสียดสีดูหมิ่นศาลเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลยังไม่ได้พยานจึงยังไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ย่อยาว

กรณีนี้ สืบเนื่องมาจากในการพิจารณาคดีนี้พนักงานอัยการโจทก์ได้อ้างนายสุระ ชัยวิรัตน์ เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์และอ้างหนังสือของนายสุระ ชัยวิรัตน์ ซึ่งได้มีไปถึงผู้บังคับการกองปราบปราม กรมตำรวจ เป็นพยานเอกสาร หมาย จ.5 เมื่อ นายสุระเบิกความเป็นพยานเสร็จ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่านายสุระเป็นเพียงนายจ้างของผู้ตายมิใช่ญาติผู้ตายร้องเรียนขอความเป็นธรรมตามเอกสาร จ.5 เป็นการดูหมิ่นศาลก็ตาม ศาลก็ถือว่าเป็นเรื่องกล่าวนอกศาล แต่การที่นายสุระเบิกความในวันนี้ต่อศาลยืนยันจะย้ำว่าศาลจังหวัดชัยภูมิอยู่ใต้อิทธิพลการเงินและเป็นคนของนายเจี่ยซึ่งนายสุระไม่ชอบ ทั้งมีข้อสงสัยว่าศาลจะไม่ให้ความเป็นธรรมนั้น ศาลนี้เห็นว่านายสุระพยานเบิกความโดยถือโอกาสก้าวร้าวเสียดสีดูหมิ่นศาลในการพิจารณาคดีในห้องพิจารณา ปรากฏต่อหน้าคู่ความโจทก์จำเลยที่อยู่ในศาล ทั้งที่ได้ร้องเรียนดูหมิ่นศาลไว้แล้วตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นการไม่สมควร ไม่ชอบอยู่แล้ว การกระทำของนายสุระที่ปฏิบัติต่อศาลเช่นนี้ ถือว่าประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นการละเมิดอำนาจศาล ตามนัยมาตรา 31, 33 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงให้จำคุกไว้ 2 เดือน

นายสุระ ชัยวิรัตน์ อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น

พนักงานอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาล

ศาลฎีกาวินิจฉัย เอกสารหมาย จ.5 เป็นหนังสือที่นายสุระร้องเรียนต่อผู้บังคับการกองปราบปราม กรมตำรวจ ในเวลาที่ยังไม่มีการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลจึงยังไม่ใช่การประพฤติตนในบริเวณศาล ส่วนคำเบิกความของนายสุระ ชัยวิรัตน์พยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคำเบิกความที่ก้าวร้าว เสียดสี และดูหมิ่นศาลมีข้อความหลายตอนตามที่ได้นำมาเรียงไว้เพื่อให้ได้ความต่อเนื่องกันว่า “…นายเจี่ยผู้จัดการบริษัทนครชัยนี้ เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทางการเงินสามารถใช้อิทธิพลทางการเงินบีบบังคับชักจูงข้าราชการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีความเรื่องคนรถของบริษัทนายเจี่ยเป็นผู้จัดการได้โดยไม่จำกัดว่าเป็นข้าราชการตำรวจแต่อย่างเดียว… และนายเจี่ยผู้จัดการบริษัทนครชัย ได้พยายามใช้อิทธิพลทางการเงินเข้าสนิทชิดชอบกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับ อัยการ และศาลจนเป็นเหตุให้คนในจังหวัดชัยภูมิกลัวและทางตำรวจท้องที่ไม่กล้าจับกุมนายเจี่ย วงศ์เบญจรัตน์… และขอยืนยันการที่ข้าพเจ้าร้องเรียนตามเอกสารหมายจ.5 นี้ ข้าพเจ้าร้องเรียนโดยเชื่อว่านายสำรองหรือพานรองผู้ตายอาจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้เกี่ยวข้องในเอกสารหมาย จ.5 ได้… และที่ร้องเรียนตลอดจนเบิกความในศาลนี้ว่านายเจี่ย วงศ์เบญจรัตน์ มีอิทธิพลทางการเงิน เข้าวิ่งเต้นเข้าหาผู้ใหญ่ในจังหวัดชัยภูมินี้ เพราะนายเจี่ยพูดในจังหวัดชัยภูมิว่า ผู้ใหญ่ในจังหวัดเป็นของเขาทั้งหมด รวมศาลสถิตย์ยุติธรรมแห่งจังหวัดชัยภูมิด้วย แต่จะพูดกับใครบ้างขณะนี้ข้าพเจ้าคิดไม่ออก…ข้าพเจ้ามีคดีเกี่ยวข้องกับผู้อื่นที่พิพาทกันในศาลจังหวัดชัยภูมิหลายคดี เป็นคดีเกี่ยวกับบริษัทสุระชัย และคนรถของบริษัทสุระชัยก็มีข้าพเจ้าก็ทราบชัดว่าไม่มีคดีใดที่ศาลจังหวัดชัยภูมิไม่ให้ความเป็นธรรมเลยแม้แต่คดีเดียว แต่คดีนี้ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยดังให้การมานี้จริง…” เห็นว่า ในวันเกิดเหตุละเมิดอำนาจศาลในคดีนี้ นายสุระเป็นพยานโจทก์ นายสุระจึงมีหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 113 และมาตรา 116ที่จะต้องเบิกความตอบคำถามของศาลและของคู่ความตามที่นำสืบกันในประเด็นแห่งคดี นายสุระไม่ได้เบิกความถึงศาลโดยที่ศาลและคู่ความมิได้ถามนายสุระ นายสุระตอบอัยการโจทก์ว่า นายเจี่ย วงศ์เบญจรัตน์ผู้จัดการบริษัทนครชัยเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเงิน สามารถใช้อิทธิพลทางการเงินบีบบังคับชักจูงข้าราชการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีความเรื่องคนรถของบริษัทนายเจี่ยเป็นผู้จัดการได้ นายเจี่ยพยายามใช้อิทธิพลทางการเงินเข้าสนิทชิดชอบกับผู้ว่าราชการจังหวัดผู้กำกับ อัยการ และศาล และนายสุระตอบทนายจำเลยว่า เหตุที่นายสุระมีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้บังคับการกองปราบปราม กรมตำรวจ ตามเอกสารหมาย จ.5 ก็โดยนายสุระเชื่อว่านายสำรองหรือนายพานรองผู้ตายอาจไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้เกี่ยวข้องในเอกสารหมาย จ.5 เพราะนายเจี่ยพูดว่า ผู้ใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิ รวมทั้งศาลเป็นของเขาทั้งหมด ดังนี้ จะเห็นได้ว่า เหตุที่นายสุระเบิกความดังกล่าวก็เพราะคู่ความนำสืบกันถึงเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งนายสุระรับรองว่าได้ทำขึ้น เพราะนายสุระเห็นว่านายเจี่ยมีอิทธิพลทางการเงินและนายเจี่ยพูดว่าศาลเป็นคนของนายเจี่ย นายสุระหาได้เบิกความตอบคำถามของคู่ความยืนยันและย้ำว่า ศาลจังหวัดชัยภูมิอยู่ใต้อิทธิพลการเงินและเป็นคนของนายเจี่ย ดังที่ศาลชั้นต้นกล่าวไว้ในคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษนายสุระฐานละเมิดอำนาจศาลแต่ประการใดไม่ และที่นายสุระตอบศาลว่าไม่มีคดีใดที่ศาลจังหวัดชัยภูมิไม่ให้ความเป็นธรรมเลยแม้แต่คดีเดียวแต่คดีนี้นายสุระมีข้อสงสัย นั้น เห็นว่าคำเบิกความของนายสุระในตอนนี้ เกิดขึ้นจากการที่ศาลถามนายสุระขึ้นเองในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่คู่ความนำสืบกันในคดีนี้ ต้องถือว่าศาลอนุญาตให้นายสุระตอบคำถามของศาลไปตามความคิดเห็นของนายสุระได้ ที่นายสุระเบิกความว่า คดีนี้นายสุระมีข้อสงสัยก็ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำอันใดของศาลหรือของผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีนี้ที่ทำให้นายสุระไม่พอใจหรือแคลงใจว่าศาลจะไม่ให้ความเป็นธรรมแก่นายสุระเหตุเพียงเท่านี้ไม่น่าจะถือว่านายสุระถือโอกาสและเจตนาเบิกความก้าวร้าว เสียดสี และดูหมิ่นศาลในการพิจารณาคดี ยังเรียกไม่ได้ว่านายสุระพยานโจทก์ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล นายสุระไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลอุทธรณ์พิพากษาในปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์

Share