คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีซึ่งอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ครอบครองรถยนต์ที่คนอื่นขับ แต่ข้อนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยครอบครองรถยนต์ที่ขับชนเสาของโจทก์จำเลยไม่ได้ให้การและนำสืบปฏิเสธ ต้องฟังว่าจำเลยรับข้อนี้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจึงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าจำเลยครอบครองรถและต้องรับผิดต่อโจทก์ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 12,500 บาทกับดอกเบี้ย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุหรือไม่ พิเคราะห์แล้วแม้คดีนี้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมา แต่การวินิจฉัยนั้นต้องวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นผิดต่อกฎหมาย คือผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนศาลอุทธรณ์อาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(3) คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้ให้การและนำสืบปฏิเสธ จึงต้องฟังว่าจำเลยรับในข้อนี้แล้ว ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นกลับฟังว่า จำเลยไม่ได้ครอบครองรถยนต์ในขณะเกิดเหตุจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนได้ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้ให้การว่าผู้ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลย จึงถือว่าจำเลยปฏิเสธในข้อนี้แล้วนั้น ฟังไม่ขึ้นเพราะผู้ขับขี่รถยนต์จะเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหากจากการเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share