แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 จำนองที่พิพาทต่อจำเลยที่ 2 ภายในวงเงิน 400,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้หนึ่งล้านบาทเศษ และต้องเอาที่พิพาทขายทอดตลาด ชำระหนี้ด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ 1 ไปไถ่ถอนจำนองที่พิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 400,000 บาท ตามสัญญาจำนอง ดังนี้ การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 รับไถ่ถอนการจำนองก็โดยโจทก์ใช้สิทธิของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้แต่ปรากฏว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 1 เองก็ไม่มีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ในวงเงิน 400,000 บาทแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะต้องฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน 400,000 บาทได้
ศาลมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องให้คู่ความร้องขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ จำนองที่ดินดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องไถ่ถอนจำนองในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่ปรากฏในสัญญาจำนอง ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ ให้รับไถ่ถอนจำนองในวงเงินดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่ขัดข้องในการที่จะโอนขายที่ดินให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน เฉพาะที่ดินพิพาทจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมต่อศาล โดยจำเลยที่ ๑ กับพวกผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑,๒๖๘,๐๙๙ บาท ๑๕ สตางค์ เมื่อไม่ชำระหนี้ จะต้องเอาที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาดตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งโจทก์และจำเลยที่ ๑ รู้อยู่ก่อนแล้วยังทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าว สัญญาจะซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ นั้น บทกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจศาลที่จะหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นได้เองโดยไม่ต้องรอคำขอจากคู่ความก่อน ส่วนปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยที่ ๑ ให้ไถ่ถอนจำนองและจำเลยที่ ๒ ให้รับไถ่ถอนจำนองหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ว่า เมื่อเดือน เมษายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ จำนองที่พิพาทต่อจำเลยที่ ๒ (ขณะใช้ชื่อว่าธนาคารเกษตร จำกัด) เพื่อประกันหนี้ที่บริษัทสหธัญญะเจริญจำกัด เป็นลูกหนี้จำเลยที่ ๒ ภายในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาพ.ศ. ๒๕๐๘ จำเลยที่ ๒ ฟ้องให้บริษัทสหธัญญะเจริญ จำกัด จำเลยที่ ๑ และนายเล็ก จุลโสภณณี หรือจุลโสภณ ร่วมกันชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๒ เป็นเงินหนึ่งล้านบาทเศษ ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๔๕๓๓/๒๕๐๘ ของศาลชั้นต้น ผลแห่งคดีนั้นคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๘ ว่าให้นำที่ดินของนายเล็ก จุลโสภณศรี ขายทอดตลาด ชำระหนี้ด้วย ครั้นวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้โจทก์ตามฟ้อง ได้ความดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าการที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับไถ่ถอนจำนองก็โดยโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ ๑ ผู้เป็นลูกหนี้ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ ๑ เองก็ไม่มีสิทธิจะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ ๒ ในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องชำระให้จำเลยที่ ๒ เป็นเงินถึง ๑ ล้านบาทเศษ และต้องเอาที่ดินพิพาทมาขายทอดตลาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ ด้วย ดังนี้ แม้แต่จำเลยที่ ๑ ผู้จำนองเองก็ไม่มีสิทธิที่จะไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ ๒ ในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทได้ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะต้องฟ้องบังคับจำเลยที่ ๒ ให้รับไถ่ถอนจำนองที่พิพาทในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทได้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสัญญาที่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา คือไม่จัดการไถ่ถอนจำนองภายในกำหนดเวลา ๖ เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดสัญญาโจทก์ก็คงมีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ เพื่อเรียกร้องดอกเบี้ยหรือค่าปรับตามข้อสัญญาเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยที่ ๑ ให้ไถ่ถอนและจำเลยที่ ๒ ให้รับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทภายในจำนวนเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน