คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18279/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับ ย. วางแผนฆ่าผู้ตายและไม่รู้มาก่อนว่า ย. มีและพาอาวุธปืนติดตัวมาด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องและโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติว่า ขณะที่ ย. ยิงผู้ตายนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย จำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ ย. ฆ่าผู้ตายนั้น ข้อเท็จจริงต้องฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รู้มาก่อนแล้วว่า ย. ให้จำเลยที่ 1 ขับรถพาไปหาผู้ตายเพื่อฆ่าผู้ตาย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก่อน การที่ ย. ยิงผู้ตายนัดแรกขณะที่นั่งซ้อนท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับมาแล้วลงจากรถตรงไปยิงผู้ตายซ้ำ อันเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ขับรถหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ แต่ขับรถวกกลับมารับ ย. ตามเสียงตะโกนเรียกของ ย. และพาหลบหนีไป ก็มิใช่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ ย. ฆ่าผู้ตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 86, 91, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง และบวกโทษจำเลยที่ 2 ในคดีนี้เข้ากับโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 763/2550 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 86 จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตคำให้การของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ให้บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 763/2550 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 13 เดือนข้อหาและคำขออื่นให้ยก ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 86 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1ในความผิดฐานนี้ด้วย และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 19 ถึง 21 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มีนายยอดรักหรือเก่ง นั่งซ้อนท้ายตามนายพิฑูร ผู้ตาย ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 ที่นายยอดรักยืมจากจำเลยที่ 2 ให้ผู้ตายยืมขับอีกทอดหนึ่ง ผู้ตายขับรถไปถึงบริเวณหลังวัดเขาหลวงใกล้สำนักแม่ชีไทย ตำบลธงชัย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ก่อน ขณะที่ผู้ตายจอดรถหันหน้ารถมาทางรถจำเลยที่ 1 นายยอดรักใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด ในระยะห่างประมาณ 2 เมตร แล้วกระโดดลงจากรถยิงผู้ตายซ้ำอีก 4 ถึง 5 นัด จำเลยที่ 1 ขับรถเลยไปแล้ววกกลับมาหานายยอดรักตามเสียงเรียกของนายยอดรักแล้วขับรถพากันหลบหนีจากที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุนายยอดรักให้เงิน 40,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 ดัดแปลงรถโดยเปลี่ยนเฟรมรถจากเดิมเป็นสีชมพู พันตำรวจตรีณรงค์ ผู้จับกุม และร้อยตำรวจโทณัฐวัฒน์ พนักงานสอบสวน ตรวจที่เกิดเหตุพบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายกับนายยอดรักซึ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายยอดรักบันทึกหมายเลขโทรศัพท์จำเลยที่ 1 ไว้ จึงเรียกจำเลยที่ 1 มาสอบถาม จำเลยที่ 1 รับว่าขับรถพานายยอดรักยิงผู้ตายและเขียนคำรับสารภาพ เจ้าพนักงานตำรวจขอศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 1 และจับจำเลยที่ 1 โดยแจ้งข้อหาว่า ร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ และเรียกจำเลยที่ 2 มาสอบถาม จำเลยที่ 2 รับว่าให้นายยอดรักยืมรถจักรยานยนต์ไปใช้และได้รับเงิน 40,000 บาท เพื่อเปลี่ยนสีรถ พนักงานสอบสวนขอศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 2 และจับจำเลยที่ 2 โดยแจ้งข้อหาว่า กระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กับนายยอดรักฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายยอดรักฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายยอดรักฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและยกฟ้องจำเลยที่ 2 ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตสำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและโจทก์มิได้อุทธรณ์ ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนทั้งสองฐานดังกล่าวจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อนายยอดรักลงมือยิงผู้ตายนัดแรกจำเลยที่ 1 ก็ย่อมรู้ได้ในทันทีตั้งแต่การยิงยังไม่เสร็จสิ้นว่า นายยอดรักให้จำเลยที่ 1 ขับรถพาไปเพื่อฆ่าผู้ตาย เมื่อนายยอดรักกระโดดลงจากรถแล้วเข้าไปยิงผู้ตายซ้ำ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้หลบหนีไป แต่กลับอยู่รอเพื่อจะพานายยอดรักหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนั้นการกระทำความผิดของนายยอดรักยังไม่ขาดตอน นายยอดรักกำลังอยู่ในขณะกระทำความผิดอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกขณะที่นายยอดรักฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการสนับสนุนให้นายยอดรักฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับนายยอดรักวางแผนฆ่าผู้ตายและไม่รู้มาก่อนว่านายยอดรักมีและพาอาวุธปืนติดตัวมาด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้องและโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติว่า ขณะที่นายยอดรักยิงผู้ตายนั้นจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย จำเลยที่ 1 จะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายยอดรักฆ่าผู้ตายนั้นข้อเท็จจริงต้องฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รู้มาก่อนแล้วว่านายยอดรักให้จำเลยที่ 1 ขับรถพาไปหาผู้ตายเพื่อฆ่าผู้ตาย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นมาก่อน การที่นายยอดรักยิงผู้ตายนัดแรกขณะที่นั่งซ้อนท้ายรถที่จำเลยที่ 1 ขับมาแล้วลงจากรถตรงไปยิงผู้ตายซ้ำอันเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ขับรถหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ แต่ขับรถวกกลับมารับนายยอดรักตามเสียงตะโกนเรียกของนายยอดรักและพาหลบหนีไป ก็มิใช่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายยอดรักฆ่าผู้ตาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้นายยอดรักฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share