คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจทก์เป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ว่าขอสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์นั้น ไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลย
โจทก์จะอ้างว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร แต่เหตุที่ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าวในบันทึกคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นเพราะความผิดพลาดในการพิมพ์บันทึกข้อมูลไม่ได้ เพราะโจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว หากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่บันทึกไว้ไม่ชัดแจ้งหรือพิมพ์ตกหล่นผิดพลาดประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป และโจทก์จะอ้างว่าฟ้องจำเลยในความผิดอย่างเดียวกันอีก 2 คดี ของศาลชั้นต้น และขอให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อกับโทษทั้งสองคดีดังกล่าว ซึ่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้สอบคำให้การจำเลยพร้อมกันทั้งสามคดี และจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรทั้งสามคดี ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานในคำฟ้องคดีนี้ และพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าว โดยนับโทษจำเลยต่อกันทั้งสามคดี และจำเลยคงอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าตนกระทำความผิดฐานรับของโจรจริงไม่ได้ เพราะตามบันทึกคำให้การของจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจรทั้งกรณีตามข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่อาจนำมารับฟังเป็นหลักฐานว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในคดีนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลยดังกล่าวข้างต้น จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2545 เวลากลางคืนหลังเที่ยง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน นครศรีธรรมราช ว-3722 ราคา 20,000 บาท ของนางวันดี คงคุ้ม ผู้เสียหายไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาวันที่ 11 พฤษภาคม 2545 เวลากลางคืนหลังเที่ยง เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนของรถดังกล่าวที่ถูกถอดออกเป็นของกลาง ทั้งนี้ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุลักทรัพย์ จำเลยกับพวกไม่ทราบจำนวนร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ดังกล่าวของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้นตามวันเวลาที่เกิดเหตุลักทรัพย์จนถึงวันเวลาที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เหตุรับของโจรเกิดที่ตำบลขุนทะเล อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 846/2545 และจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357 นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 846/2545 และโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การขอสารภาพผิดตามฟ้อง และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 846/2545 และโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 ของศาลชั้นต้นยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจะลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรได้หรือไม่ และสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยใหม่หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ว่าขอสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์นั้น ไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลย ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร แต่เหตุที่ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าวในบันทึกคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นเพราะความผิดพลาดในการพิมพ์บันทึกข้อมูลนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของจำเลยและรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว หากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่บันทึกไว้ไม่ชัดแจ้งหรือพิมพ์ตกหล่นผิดพลาดประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไปเพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลย ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าในวันเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในความผิดอย่างเดียวกันอีก 2 คดี ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 846/2545 และ 847/2545 ของศาลชั้นต้น และขอให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ติดต่อกับโทษในทั้งสองคดีดังกล่าว ซึ่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้สอบคำให้การจำเลยพร้อมกันทั้งสามคดี และจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรทั้งสามคดี ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานในคำฟ้องคดีนี้ และพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าว โดยนับโทษจำเลยติดต่อกันทั้งสามคดี และจำเลยคงอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าตนกระทำความผิดฐานรับของโจรจริงนั้น เห็นว่า ตามบันทึกคำให้การของจำเลยในคดีนี้ไม่ได้ระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ทั้งกรณีตามข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่อาจนำมารับฟังเป็นหลักฐานว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในคดีนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลยดังกล่าวข้างต้นจึงลงโทษจำเลยไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share