คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้ร้องขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน ศาลมีคำสั่งอนุญาตภายในเงื่อนไขว่าหากผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากการบังคับจำนองไปแล้วเพียงใดก็ให้สิทธิของผู้ร้องที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยลดลงไปเพียงนั้น ดังนี้การที่ ฉ.จำนองทรัพย์สินของตนไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยต่อผู้ร้องทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์อันได้แก่ดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองด้วย เมื่อผู้ร้องฟ้อง ฉ.เพื่อบังคับจำนองและเงินได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่เพียงพอปลดเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมด การจัดลำดับในการชำระหนี้ก่อนหลังจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 คือ จัดใช้เป็นค่าฤชาธรรมเนียมเสียก่อนแล้วจึงใช้ดอกเบี้ย และในที่สุดจึงให้ใช้ในการชำระหนี้อันเป็นประธานสำหรับดอกเบี้ยนั้นต้องใช้ถึงวันขายทอดตลาด กรณีนี้จะนำความในมาตรา 100แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาใช้บังคับ ซึ่งจะมีผลให้ไม่ต้องนำเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง มาหักชำระค่าดอกเบี้ยที่เกิดหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่ง พิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้วไม่ได้ เพราะ ฉ. ผู้จำนองไม่ใช่ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จึงยังต้องรับผิดในดอกเบี้ย ที่เกิดหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยอยู่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันจำนวนเงิน 31,031.959 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน 30,756,810.81 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยก่อนหากไม่พอขาดอยู่เท่าใดก็ให้ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130(8) และมีเงื่อนไขว่า หากผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากการบังคับจำนองที่ดินของนายเฉลิมพันธ์ บุตรนิพันธ์ ไปแล้วเพียงใด ก็ให้สิทธิของผู้ร้องที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยลดลงไปเพียงนั้นต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้นำเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของนายเฉลิมพันธ์ บุตรนิพันธ์จำนวนเงิน 8,501,931 บาท หักชำระค่าธรรมเนียมและค่าทนายความในการฟ้องบังคับจำนองดังกล่าวเป็นเงิน 230,850 บาทก่อนเหลือเงินจำนวน 8,271,081 บาท จึงนำมาหักชำระหนี้ของจำเลย ก็จะเหลือหนี้ของจำเลยที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับจากการจ่ายส่วนแบ่งตามบัญชีส่วนแบ่งเจ้าหนี้ครั้งที่สุด (ครั้งเดียว) เป็นเงินทั้งสิ้น22,485,729.81 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เงินที่ได้จากการบังคับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของนายเฉลิมพันธ์เมื่อนำไปหักชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยพร้อมดอกเบี้ย กับค่าดอกเบี้ยหนี้เงินกู้นับถึงวันขายทอดตลาดแล้วคงเหลือนำมาหักชำระหนี้ของจำเลยเพียง2,508,121.24 บาท เมื่อหักเงินจำนวนนี้ออกจากยอดหนี้จำนวน30,756,810.81 บาท ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้แล้ว ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามบัญชีส่วนแบ่งเจ้าหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยเป็นเงิน 28,248,689.57 บาทจึงขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยให้จ่ายเงินส่วนแบ่งแก่ผู้ร้องตามจำนวนดังกล่าว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถึงที่สุดตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้กู้ยืมเป็นเงิน 30,756,810.81 บาทเท่านั้น ดังนั้น เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของนายเฉลิมพันธ์แล้วเงินที่ได้หลังหักค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองต้องนำไปชำระหนี้ของจำเลยก่อนในจำนวนที่ไม่เกินกว่าความรับผิดตามสัญญาจำนอง หากยังมีเงินเหลือ ผู้ร้องจึงจะนำไปชำระหนี้ที่นายเฉลิมพันธ์เป็นหนี้และค้างชำระได้ ความรับผิดตามสัญญาจำนองที่นายเฉลิมพันธ์ต้องรับผิดชำระหนี้ของจำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเงิน 9,094,319.44 บาท เมื่อนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของนายเฉลิมพันธ์ที่หักค่าฤชาธรรมเนียมจำนวน 230,850 บาทแล้ว หักชำระหนี้ของจำเลย ผู้ร้องคงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน22,485,729.81 บาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำเงินค่าดอกเบี้ยที่คำนวณถึงวันขายทอดตลาดหักออกจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของนายเฉลิมพันธ์เสียก่อนแล้วจึงคำนวณจัดทำบัญชีส่วนแบ่งเจ้าหนี้เสียใหม่
ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้วจำเลยถึงแก่ความตาย นายเฉลิมพันธ์ บุตรนิพันธ์ บุตรจำเลยร้องขอเข้ามาเป็นผู้แทนจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาต
ผู้แทนจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้แทนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้คงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำเงินค่าดอกเบี้ยที่เกิดหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจนถึงวันขายทอดตลาดหักออกจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของนายเฉลิมพันธ์เสียก่อน แล้วจึงคำนวณจัดทำบัญชีส่วนแบ่งเจ้าหนี้เสียใหม่นั้นชอบหรือไม่เห็นว่า กรณีนี้นายเฉลิมพันธ์ได้จำนองทรัพย์สินไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยต่อผู้ร้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 715 นั้น ทรัพย์สินที่จำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์อันได้แก่ดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองดังกล่าวด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าในคดีที่ผู้ร้องฟ้องนายเฉลิมพันธ์เพื่อบังคับจำนองนั้น จำนวนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่เพียงพอที่จะเปลื้องหนี้สินได้ทั้งหมดการจัดลำดับในการชำระหนี้ก่อนหลังจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 กล่าวคือต้องจัดใช้เป็นค่าฤชาธรรมเนียมเสียก่อนแล้วจึงใช้ดอกเบี้ย และในที่สุดจึงให้ใช้ในการชำระหนี้อันเป็นประธาน สำหรับดอกเบี้ยนั้นจะต้องใช้ถึงวันขายทอดตลาดกรณีเช่นนี้จะนำความในมาตรา 100แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่บัญญัติว่า “ดอกเบี้ยหรือเงินค่าป่วยการอื่นแทนดอกเบี้ยภายหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น ไม่ให้ถือว่าเป็นหนี้ที่จะขอรับชำระได้”มาใช้บังคับ ซึ่งจะมีผลให้ไม่ต้องนำเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาหักชำระค่าดอกเบี้ยที่เกิดหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้วตามที่ผู้แทนจำเลยฎีกาหาได้ไม่เพราะนายเฉลิมพันธ์ผู้จำนองมิใช่ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ นายเฉลิมพันธ์จึงยังต้องรับผิดในดอกเบี้ยที่เกิดหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยอยู่
พิพากษายืน

Share