แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินไปตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาทรัสต์ชีทแล้วให้นำไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งตามรายการและจำนวนเงินที่หักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ได้ระบุเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต จำนวนเงินตรงกับที่โจทก์นำมาฟ้องทั้ง 6 ฉบับทั้งเอกสารที่โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าได้หักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ไปแล้วก็เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้น จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้นำหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อหนี้ระงับไปแล้วแม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 10จะมีหนังสือขอผ่อนผันชำระหนี้ ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่ แม้จำเลยที่ 1, ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10จะมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1,ที่ 2, ที่ 4, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9 และที่ 10 ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1),247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้ เพื่อชำระค่าสินค้าประเภทอุปกรณ์แก๊สให้แก่ผู้ขายในต่างประเทศโจทก์ได้ชำระค่าสินค้าแทนจำเลยที่ 1 ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตไปทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,612,739.53 บาท และในการที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 ได้เข้าค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้และได้ทำสัญญาทรัสต์รีชีทให้แก่โจทก์รวม 6 ฉบับ เมื่อครบกำหนดตามสัญญาทรัสต์รีชีท จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน5,151,942.38 บาท จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทฉบับที่ 5 เพียงบางส่วน หักแล้วยังเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น4,530,365.48 บาท นอกจากนี้ยังมีหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินอีก5 ฉบับ ที่นำมาขายลดให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามแล้วขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 12,449,137.84 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 7,075,901.48 บาท และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 4,210,047.13 บาท และให้จำเลยที่ 2 ถึง 11 ร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์ 8,239,090.71 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 5,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถึงที่ 10 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีชีทครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 11 ให้การว่า จำเลยที่ 11 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ในมูลหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 4,210,047.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์อีก 8,239,090.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 11 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการแรกมีว่าจำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 11 จะต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทให้แก่โจทก์หรือไม่ ในข้อนี้ นายเสนอพาจันทร์คา พยานโจทก์เบิกความว่าได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยให้นำเงินที่โจทก์ชำระไปตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือสัญญาทรัสต์รีชีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามเอกสารหมาย จ.48 ถึง จ.53 ที่โจทก์อ้างส่งมีข้อความว่าโจทก์ได้หักบัญชีของจำเลยที่ 1 เลขที่ 7370 ตามรายการและจำนวนเงินที่แสดงรายละเอียดไว้โดยระบุเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิต จำนวนเงินอัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยและค่าอากรแสตมป์ซึ่งปรากฎว่าบัญชีเลขที่ 7370 เป็นบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1และเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับจำนวนเงินตามเอกสารหมายจ.48 ถึง จ.53 ตรงตามเลขที่ของเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและจำนวนเงินตามที่โจทก์นำมาฟ้องทั้ง 6 ฉบับ เห็นว่า เอกสารหมาย จ.48ถึง จ.53 เป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นและแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าโจทก์ได้หักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 ตามรายการและจำนวนเงินที่แจ้งมา ที่โจทก์อ้างว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงใบแจ้งหนี้จึงเป็นการขัดกับข้อความในเอกสารที่โจทก์ทำขึ้น พยานโจทก์เบิกความแต่เพียงลอย ๆ ว่าเงินในบัญชีของจำเลยที่ 1 มีไม่พอให้โจทก์หักชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.48 ถึง จ.53 โจทก์หาได้มีพยานอื่นใดสนับสนุนไม่ โดยเฉพาะการ์ดบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1โจทก์ก็หาได้นำมาแสดงเป็นพยานหลักฐานไม่ ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลทำให้เชื่อได้ว่า โจทก์ได้นำหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีทไปหักจากบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 แล้วเมื่อหนี้รายนี้ได้ระงับไปแล้ว แม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ถึงที่ 11 มีหนังสือขอผ่อนชำระในมูลหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีชีท ตามเอกสารหมาย ปจ.1 ก็หาทำให้ต้องรับผิดอีกไม่และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป เนื่องจากคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระหนี้ในสัญญาทรัสต์รีชีทอันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงินตามสัญญาทรัสต์รีชีทให้แก่โจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 11 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น