คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1824/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาในคดีอาญาว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยไม่ใช่เพราะความประมาทของจำเลยที่1เช่นนี้โจทก์ที่1และโจทก์ที่2ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวจึงต้องถูกผูกพันด้วยศาลจำต้องฟังในคดีแพ่งว่าจำเลยที่1มิได้ประมาทเลินเล่อจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่1และโจทก์ที่2.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้าง นายจ้างอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ๆ จึงต้องรับผิดร่วมด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยของจำเลยที่ 1 จะป้องกันได้ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่กระทำนี้เป็นการกระทำผิดทางอาญาและในขณะเดียวกันเป็นการละเมิดในทางแพ่งด้วย การที่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดว่าขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ชนโจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บและทับร่างของนายบรรจง บุตรโจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตายนั้นจึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ดังนั้นการพิจารณาคดีส่วนแพ่งคดีนี้ ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46บัญญัติไว้ ในคดีส่วนอาญานั้น จำเลยที่ 1 ถูกอัยการศาลทหารบกลพบุรีเป็นโจทก์ฟ้องยังศาลจังหวัดทหารบกลพบุรีตามคดีดำที่ 60 ก./2520คดีแดงที่ 2 ก./2522 ในข้อหานำรถยนต์ที่มีเครื่องห้ามล้อใช้ไม่ได้มาใช้ในทางและขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งศาลจังหวัดทหารบกลพบุรีฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นห้ามล้อมือใช้การไม่ได้ แต่ห้ามล้อเท้าใช้การได้ดี จำเลยที่ 1 ยังสามารถบังคับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับให้รถหยุดได้โดยไม่ต้องใช้ห้ามล้อมือส่วนเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรถยนต์จิ๊บที่ร้อยโทสุเมศร์ขับแล่นแซงซ้ายรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับแล้วเลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะกระชั้นชิด และเลี้ยวรถในที่ที่มีเครื่องหมายจราจรบังคับห้ามเลี้ยวขวาไว้ จำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถยนต์คันเกิดเหตุตามหลังมาได้เหยียบห้ามล้อเท้าอย่างแรง ทำให้ห้ามล้อเท้าหลังด้านขวาแตก รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับจึงพุ่งเข้าชนรถยนต์จิ๊บแล้วแล่นแฉลบเลยไปทางด้านหน้าขวาพุ่งเข้าชนคนตายสองคน บาดเจ็บสาหัสสามคนและบาดเจ็บอีกหนึ่งคน นับว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหาใช่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถยนต์จิ๊บที่ร้อยโทสุเมศร์ขับเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังไม่ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวข้างต้นจึงต้องผูกพันด้วย ดังนี้ในคดีแพ่งคดีนี้ ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2”
พิพากษายืน.

Share