แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 55 นั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลเช่นในกรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเพราะทรัพย์นั้นไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หาจำจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณี ย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์
ผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้มีสิทธิเข้าถือเอาไม้ในป่าตามที่กำหนดให้นั้น ย่อมมีสิทธิร้องขัดทรัพย์ในเมื่อไม้ที่ถูกตัดมาจากป่าสัมปทานของผู้ร้องได้ถูกยึดทรัพย์ไว้
ย่อยาว
คดีนี้เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขัดทรัพย์ คือโจทก์ฟ้องจำเลยว่า ผิดสัญญาซื้อขายแก่นไม้คูนจำนวนหนึ่งแสนกิโลกรัม เรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 36,000 บาท จำเลยทำสัญญาประนีประนอมต่อหน้าศาล ยอมชำระเงินให้แก่โจทก์ แล้วกลับไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไม้สักแปรรูปรวม 154 ท่อน ซึ่งไม่มีรอยดวงตราหรือเครื่องหมายกรรมสิทธิ์ของผู้ใด อ้างว่าเป็นของจำเลย 4 คน รวมราคาประมาณ 12,320 บาท
บริษัทหลุยทีเลียงโนเวนส์ ยื่นคำร้องและคำแก้ไขขอให้สั่งปล่อยการยึดสำหรับไม้ 39 ท่อนในจำนวนดังกล่าว โดยอ้างว่าไม้ 39 ท่อนนั้นเป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง โดยผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองและมีสิทธิทำไม้ตามสัมปทานที่รัฐบาลออกให้แก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้จะฟังว่าไม้เหล่านั้นถูกตัดมาจากป่าสัมปทานของผู้ร้องก็ดี แต่ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิครอบครองในไม้เหล่านั้น เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของหรือไม่มีสิทธิครอบครองแล้วผู้ร้องจะเข้าขัดทรัพย์ไม่ได้ จึงสั่งงดการพิจารณาแล้วชี้ขาดเบื้องต้นให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรา 288 อันประกอบด้วยมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง นั้น ผู้ที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลเช่นในกรณีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เพราะทรัพย์นั้นมิใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น หาจำจะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือทรัพย์สิทธิในทรัพย์สินนั้นไม่ ผู้มีส่วนได้เสียในกรณี ย่อมมาใช้สิทธิทางศาลได้ด้วยการร้องขัดทรัพย์ กรณีนี้ผู้ร้องเป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐ ให้เป็นผู้มีสิทธิเข้าถือเอาไม้ในป่าตามที่กำหนดให้แต่ผู้เดียว ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้ จึงพิพากษากลับให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ไว้ พิจารณาสั่งต่อไป