คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดามารดาทำสัญญาจะขายที่ดินของบุตร 2 คน คนหนึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกคนหนึ่งบรรลุนิติภาวะแล้วแก่บุคคลภายนอก โดยทำสัญญาเป็นหนังสือและรับเงินมัดจำไว้แล้ว ภายหลังเพิกเฉยไม่ดำเนินการจัดการอย่างใดเพื่อปฏิบัติตามสัญญา ดังนี้ ย่อมถือว่าบิดามารดาผิดสัญญาต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อ ส่วนบุตรเป็นคนนอกสัญญาและไม่ปรากฎว่าบิดาเป็นตัวแทน จึงไม่ผูกมัดตามสัญญาและจะบังคับให้บิดามารดาโอนขายที่ดินตามสัญญาไม่ได้เพราะมิใช่ที่ดินของบิดามารดา

ย่อยาว

คดีได้ความว่าจำเลยที่ ๑-๒ เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ ๓-๔ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๗ จำเลยที่ ๑-๒ ได้ทำหนังสือสัญญาจะขายนาโฉนดเลขที่ ๒๖๙๗ ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ ๓-๔ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ ให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาทจำเลยที่ ๑-๒ ได้รับมัดจำไว้จากโจทก์ ๒๐๐ บาท เมื่อผู้ขายถอนชื่อผู้มีกรรมสิทธิในโฉนดได้เมื่อใด ผู้ซื้อจะนำเงินมาชำระให้ทั้งหมด ในเวลาทำสัญญากันจำเลยที่ ๓ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จำเลยที่ ๔ บรรลุนิติภาวะมีสามีแล้วทำสัญญากันแล้วโจทก์ได้เข้าอยู่ในที่แปลงนี้โดยทำสัญญาเช่าจากจำเลยที่ ๓-๔ เพราะยังมิได้โอนโฉนดกัน ระหว่างที่โจทก์เข้าอยู่ในที่ดิน โจทก์ได้ขุดบ่อถมโลกทำถนนรวมทั้งสิ้นเงิน ๑๒๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑-๒ มิได้จัดการขออนุญาตจากศาลเพื่อทำการขายแทนจำเลยที่ ๓ และมิได้จัดการให้จำเลยที่ ๔ ทำหนังสือแต่งตังให้จำเลยที่ ๑-๒ เป็นตัวแทนในการที่จะทำสัญญาขายที่รายนี้ให้โจทก์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ โจทก์เตือนจำเลยที่ ๑-๒ ก็ผัดเพี้ยนเรื่อยมา เนื่องจากที่ดินมีราคาสูงมากขึ้นโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้ง ๔ ให้ขายที่ดินแด่โจทก์ตามสัญญา ถ้าไม่สามารถขายได้ก็ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำ ๒๐๐ บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายทดแทนโจทก์ ๖๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๓-๔ เป็นคนนอกสัญญาจึงบังคับไม่ได้ คงให้จำเลยที่ ๑-๒ คืนเงินมัดจำ ๒๐๐ บาทให้โจทก์คำขออื่นให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในการทำสัญญากับโจทก์นี้จำเลยที่ ๑-๒ หาได้รับอนุญาตจากศาลหรือได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนจำเลยที่ ๔ ไม่ ฉะนั้นสัญญานี้จึงไม่ผูกมัดจำเลยที่ ๓-๔ และจะบังคับจำเลยที่ ๑-๒ ให้ขายที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาไม่ได้ เพราะมิใช่ที่ดินจำเลยที่ ๑-๒ แต่จำเลยที่ ๑-๒ ได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ไปแล้วมิได้พยายามจัดการอย่างใด เพื่อปฏิบัติตามสัญญาในสิ่งที่ตนมีหนทางอาจจัดการตามที่ตนสัญญารับรองไว้ได้ แม้เวลานี้ตนจะจัดการไม่ได้เพราะจำเลยที่ ๓-๔ เกิดไม่ยอมขึ้นมาเนื่องจากที่ดินมีราคาสูงกว่าเดิม จำเลยที่ ๑-๒ ก็หาพ้นผิดในฐานะเป็นผู้ผิดสัญญาไม่ จึงต้องมีหน้าที่รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑-๒ คืนเงินมัดจำ ๒๐๐ บาท พร้อมทั้งค่าขุดบ่อถมโคกทำถนน รวมเงิน ๑๒๐๐ บาทแก่โจทก์ด้วย

Share