คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นทางเกวียนขนาด กว้าง 2-3 เมตร แต่ในเวลาต่อมาโจทก์ไม่ได้ใช้ทางนี้เป็นทางเกวียน ผ่านเข้าออกเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้ว คงใช้เป็นทางสำหรับคนเดิน ภารจำยอมไม่ว่าจะได้มาโดยนิติกรรมหรือโดยอายุความ ที่เป็นทางเกวียนดังกล่าวย่อมระงับสิ้นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399 หลังจากนั้น เป็นต้นมาทางที่โจทก์ใช้ที่ดินของทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ ย่อมมีสภาพเพียงเป็นทางเดิน อายุความได้สิทธิหรืออายุความเสียสิทธิภารจำยอมมิใช่อายุความฟ้องร้อง ฉะนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าภารจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความ ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 4915จำเลยมีที่ดินติดต่อกับที่ดินโจทก์ไปทางตะวันออก โจทก์เดินเข้าออกระหว่างที่ดินโจทก์และทางสาธารณะโดยผ่านมุมตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดิน จำเลยมานานกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งจำเลยล้อมรั้วเว้นส่วนนี้ไว้นอกรั้ว เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2532 จำเลยย้ายรั้วออกมาปิดกั้นทางเดินดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์เข้าออกไม่สะดวกเหมือนเดิมโจทก์บอกให้จำเลยเปิดทางเช่นเดิม แต่จำเลยก็เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยเปิดทางให้คืนสู่สภาพเดิม
จำเลยให้การว่า โจทก์และบริวารเดินผ่านที่ดินจำเลยกว้าง1 เมตรเศษ โดยถือวิสาสะเนื่องจากความเป็นญาติ จึงไม่ใช่ทางภารจำยอม จำเลยไม่ได้ล้อมรั้วปิดทางขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทำรั้วรุกล้ำทางสาธารณะ จากจุด ฉ.ในแผนที่พิพาทหมาย ผ.1 ถึงจุด ข. เป็นระยะทาง 1.28 เมตรและจากจุด ฉ. ถึงหลักหมุดเขตเลขที่ 5014 ฬ. เป็นระยะทาง 1.28 เมตร(จากมุมตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินจำเลยไปตามแนวเขตด้านเหนือและด้านตะวันตกด้านละ 1.28 เมตร) ห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์และบริวารผ่านช่องทางดังกล่าว
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อไปว่า ทางพิพาทที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกไปสู่ทางสาธารณะเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ และมีขนาดความกว้างยาวเพียงใด ซึ่งในปัญหาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้วในสำนวน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเสียเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก สำหรับปัญหาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นายเชื้อ มณีจ่าสิบเอกสวัสดิ์ ฉิมประเสริฐ นางแปลก มาศิรินางดี ยุทธสินเสวี นางอึ้ง พินิจวงศ์ และพยานอื่นของโจทก์เบิกความว่า เดิมทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะกว้างประมาณ 2-3 เมตรเกวียนและรถยนต์สามารถผ่านเข้าออกได้ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าโจทก์เลิกใช้เกวียนมานานประมาณ 15 ปีแล้ว ซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้จ่าสิบเอกสวัสดิ์ นางแปลกและนางอึ้ง พยานโจทก์ก็เบิกความว่าโจทก์เลิกใช้เกวียนมาเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้ว เป็นการเจือสมพยานจำเลยจึงฟังว่าเดิมทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะเป็นทางเกวียนขนาดกว้าง 2-3 เมตร แต่ในเวลาต่อมาโจทก์ไม่ได้ใช้ทางนี้เป็นทางเกวียนผ่านเข้าออกเป็นเวลานานถึง 10 ปีแล้วคงใช้เป็นทางสำหรับคนเดิน ภารจำยอมไม่ว่าจะได้มาโดยนิติกรรมหรือโดยอายุความที่เป็นทางเกวียนดังกล่าวย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399และอายุความได้สิทธิหรืออายุความเสียสิทธิภารจำยอมมิใช่อายุความฟ้องร้องฉะนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าภารจำยอมสิ้นไปแล้วโดยอายุความศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาทางที่โจทก์ใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์จึงมีสภาพเพียงเป็นทางเดินซึ่งต่อมาจำเลยได้ยกให้เป็นทางสาธารณะเมื่อปี 2527 แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าทางเดินนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงใดคงได้ความตามที่จำเลยนำสืบว่าทางเดินกว้างประมาณ 2 เมตรเศษโดยผ่านที่ดินของจำเลยส่วนหนึ่งกว้างประมาณ 1 เมตรเศษและอีกส่วนหนึ่งผ่านที่ดินของร้อยตรีกลั่นกว้างประมาณ 1 เมตรเศษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดขนาดของทางเดินและห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์และบริวารที่จะผ่านทางส่วนนี้นั้นเหมาะสมแล้ว”
พิพากษายืน

Share