คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1451/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ที่ บ.เอาไปประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยที่ 2 เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 โดย บ.เป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ 1 ในสัญญาประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไว้จริงจึงน่าเชื่อว่า บ.เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 โดยไม่เปิดเผยชื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยที่ 1 เอารถยนต์ไปประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการมิได้เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและรับเอาสัญญาประกันภัยซึ่ง บ.ตัวแทนได้ไว้แทนตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806
โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ 1 มาวินิจฉัย ก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ท้ากันหาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้วไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวิมลรัตน์ นายจงลกจ้างของจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๑ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ โดยประมาทเลินเล่อชนรถที่นางวิมลรัตน์โดยสารมาและนางวิมลรัตน์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างของนายจงจึงต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เอาประกัน จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มิได้ประมาทเลินเล่อ ค่าสินไหมทดแทนไม่ถึงจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ ได้เอารถยนต์ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดอยู่แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายใดๆ แทนจำเลยที่ ๑ เหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ขับรถยนต์ที่นางวิมลรัตน์โดยสารมา หากศาลให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ ก็รับผิดไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาทตามตารางกรมธรรม์ประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหายบางส่วนให้โจทก์ โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ดำเนินคดีกับจำเลยที่ ๒ ต่อไป โจทก์และจำเลยที่ ๒ รับข้อเท็จจริงกันว่าการกระทำละเมิดคดีนี้เป็นความประมาทเลินเล่อของคนขับรถยนต์จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ไว้จริง ค่าเสียหายของโจทก์จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์แล้วคงเหลือค่าเสียหายอีก ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๒ ท้ากันให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่ต้องสืบพยานว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ ๒ รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ยอมแพ้ หากศาลเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด โจทก์ยอมแพ้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันคือนายบุญชัย ผู้ที่ จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยคือนายบุญชัย เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยคดีนี้ จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงต้องแพ้ตามคำท้า พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามหนังสือรับรองนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯ ท้ายคำให้การจำเลยที่ ๑ มีว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ ๑ มี ๘ คนรวมทั้งนายบุญชัย นายบุญชัยมีชื่อเป็นผู้เอาประกันภัยในกรมธรรม์แทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ และแพ้คดีไปตามคำท้า พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์ที่ก่อให้เกิดวินาศภัยในคดีนี้เป็นของจำเลยที่ ๑ ซึ่งนายบุญชัยเอาไปประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อ ๑ คน การตายของนางวิมลรัตน์ทำให้โจทก์เสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์แล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท คงเหลือค่าเสียหายอีก ๑๐,๐๐๐ บาท
ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนหรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ วรรคแรกบัญญัติว่า “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั่น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ” ผู้เอาประกันภัยค้ำจุนในคดีนี้คือนายบุญชัย นายบุญชัยเอารถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ไปประกันภัยค้ำจุนได้อย่างไรในเมื่อตนไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ เพราะมาตรา ๘๖๓ บัญญัติว่า ” อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ” จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องให้รับผิดร่วมกันเพราะมีประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ตามหนังสือรับรองของสำนักงานห้างหุ้นส่วนบริษัทฯ ท้ายคำให้การ ห้างจำเลยที่ ๑ มีหุ้นส่วนทั้งหมด ๘ คน รวมทั้งนายบุญชัย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดชอบและถือหุ้นมากที่สุด ในสัญญาประกันภัยก็ลงที่อยู่ของนายบุญชัยที่เดียวกับที่ตั้งของห้างจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๒ รับว่าได้รับประกันภัยค้ำจนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ไว้จริง จึงน่าเชื่อว่านายบุญชัยเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประกันภัยดังกล่าวแทนจำเลยที่ ๑ ไว้จริง โดยไม่ได้เปิดเผยชื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ ๑ ให้การว่า รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ได้เอาประกันไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ ในผลละเมิด จึงเป็นการที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการมิได้ เปิดเผยชื่อกลับแสดงตนให้ปรากฏและรับเอาสัญญาประกันภัยค้ำจุนซึ่งนายบุญชัยตัวแทนได้ทำไว้แทนตนตามมาตรา ๘๐๖ เมื่อจำเลยที่ ๒ แถลงรับว่าได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ไว้จริง โดยมิได้อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่คู่สัญญา จึงเป็นการยอมรับตามคำให้การของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เอารถยนต์ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายบุญชัยทำสัญญาประกันภัยแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประกันภัย และต้องแพ้คดีตามคำท้า และที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงในคำให้การของจำเลยที่ ๑ มาวินิจฉัยนั้นก็เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการวินิจฉียความรับผิดตามสัญญาประกันภัยที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ท้ากันจึงมิใช่วินิจฉัยข้อเท็จจริงในประเด็นที่สละแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๒ แถลงรับว่า จำเลยที่ ๒ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ไว้จริง ศาลอุทธรณ์ย่อมยกมาประกอบการวินิจฉัยได้
พิพากษายืน

Share