แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินเนื้อที่ 25 ตารางวา ซึ่งมีบ้านปลูกอยู่โจทก์ให้การต่อสู้อ้างสิทธิครอบครองและศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ 25 ตารางวา คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อขอแสดงสิทธิครอบครองในที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีก่อนด้วย ดังนี้ ในคดีก่อนย่อมไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทส่วนที่นอกเหนือจากเนื้อที่ 25 ตารางวา ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนอกเหนือจากเนื้อที่ 25 ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) สารบบเล่มที่ 556/415 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน โดยซื้อมาจากนายน้อม วิเชียรศรี เมื่อปี 2518 โจทก์ครอบครองทำประโยชน์โดยปลูกบ้านและพืชผลอาสินตลอดมาโดยสงบและเปิดเผย ไม่เคยมีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชแจ้งโจทก์ว่าจำเลยขอแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวนเนื้อที่ 25 ตารางวา ให้แก่โจทก์ อ้างว่าเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1185/2537 การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกแย่งการครอบครองของโจทก์ โจทก์คัดค้านแล้ว ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเล่มที่ 556/415 หมู่ที่ 4 ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน เป็นของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนายน้อม วิเชียรศรี ต่อมาโจทก์จำเลยมีคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1185/2537 ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 25ตารางวา ที่บ้านเลขที่ 98/1 ตั้งอยู่เท่านั้น และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยได้แบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ตามจำนวนเนื้อที่ที่โจทก์ชนะคดี ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1185/2537 เพราะคู่ความเป็นรายเดียวกันและคดีมีประเด็นอย่างเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) สารบบเล่มที่ 556/415 หมู่ที่ 4 ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เดิมคดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ตีราคาไว้เป็นเงิน 200,000 บาท ตามคำแถลงลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2540 จำเลยมิได้คัดค้าน ทั้งยังกำหนดจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาเป็นเงิน 175,000 บาทอีกด้วย พอแปลได้ว่าจำเลยถือว่าที่ดินพิพาทในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามีเฉพาะส่วนที่นอกเหนือจาก 25 ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1185/2537 ของศาลชั้นต้น ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทที่นอกเหนือจากเนื้อที่ 25 ตารางวา เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1185/2537 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ในคดีดังกล่าวจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินเนื้อที่ 25 ตารางวา ซึ่งมีบ้านเลขที่ 98/1 ปลูกอยู่ อันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีนี้ โจทก์ให้การต่อสู้อ้างสิทธิครอบครองและศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 25 ตารางวา ดังกล่าวคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อขอแสดงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทในคดีก่อนด้วยดังนี้ ในคดีก่อนย่อมไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทส่วนที่นอกเหนือจากเนื้อที่25 ตารางวา ที่ศาลจะพึงวินิจฉัย ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนอกเหนือจากเนื้อที่ 25 ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตามที่จำเลยฎีกาสำหรับที่ดินพิพาทในส่วนเนื้อที่ 25 ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีก่อนนั้น เมื่อต้องถือว่าที่ดินพิพาทในชั้นฎีกามีเฉพาะส่วนที่นอกเหนือจากที่ดินพิพาทในส่วนนี้ดังได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ในส่วนนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อนนั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน