คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินมีโฉนดร่วมกับ จ. การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยกับ จ. ไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด เป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และถือเป็นการยกข้อต่อสู้แทน จ. ซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 แม้โจทก์ทั้งเจ็ดมิได้ฟ้อง จ. ด้วย ผลแห่งคดีย่อมต้องผูกพันถึง จ. โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็น และให้จำเลยเปิดทางพิพาทกว้าง ๓ เมตร ยาวประมาณ ๒๒ เมตร ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ให้โจทก์ทั้งเจ็ดและบริวารใช้เป็นทางออกสู่ถนน สาธารณประโยชน์ กับให้จำเลยไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีทางออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ได้หลายทางกล่าวคือ ในปัจจุบันโจทก์ทั้งเจ็ดผ่านที่ดินซึ่งอยู่ห่างทิศตะวันตกของที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์สายบ้านนอก-ในบ้าน และโจทก์ทั้งเจ็ดสามารถออกสู่ทางสาธารณะซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดได้ นอกจากนี้โจทก์ทั้งเจ็ดยังสามารถผ่านทางพิพาทซึ่งกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ ๒๒ เมตร ออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์สายบ้านนอก-ในบ้าน ได้อยู่แล้ว ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีสภาพเป็นที่ราบ ไม่มีบึง สระ ทะเลหรือภูเขาล้อมรอบ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น โจทก์ที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยเป็นเจ้าของ ที่ดินร่วมกับนายจำเริญ จันมณี แต่คดีจี้โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องจำเลยเพียงคนเดียว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทซึ่งอยู่ภายในกรอบเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทสังเขปท้ายฟ้อง เป็นทางจำเป็น ให้จำเลยเปิดทางพิพาทขนาดกว้าง ๒ เมตร ๓๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๒๒ เมตร ในที่ดินของจำเลยเพื่อให้โจทก์ทั้งเจ็ดและบริวารผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ตามปกติ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๕๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายืน โจทก์ทั้งเจ็ดไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่ได้ฟ้องนายจำเริญ จันมณี ซึ่งเป็นเจ้าของรวมได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๐๔๐ ร่วมกับนายจำเริญ ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๙ บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก…” ดังนี้ การที่จำเลยซึ่งเป็น เจ้าของรวมคนหนึ่งในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๐๔๐ ดังกล่าว ได้ให้การต่อสู้คดีว่าทางพิพาทซึ่งอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๐๔๐ ไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด จึงเป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้โจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และถือเป็นการยกข้อต่อสู้แทนนายจำเริญซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินอีกคนหนึ่งตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าวแล้ว ผลแห่งคดีนี้แม้จำเลยเจ้าของรวม คนเดียวถูกฟ้อง ก็ย่อมต้องผูกพันถึงนายจำเริญซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง โจทก์ทั้งเจ็ดจึงไม่จำเป็นต้องฟ้อง นายจำเริญด้วย โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share