คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและเป็นทางภารจำยอม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่เป็นทางภารจำยอม แต่เป็นทางจำเป็นจึงพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาท คำขออื่น ๆ ให้ยก หากโจทก์เห็นว่าโจทก์ได้สิทธิทางภารจำยอม โจทก์ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ เพียงแก้อุทธรณ์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมด้วย ฉะนั้นประเด็นในเรื่องทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายใหญ่เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๙๙ ต่อมาได้แบ่งแยกเป็นหลายแปลง จำเลยซึ่งเป็นบุตรนายใหญ่ได้ที่ดินแปลงที่ ๑ นายใหญ่ขายที่ดินแปลงที่ ๖ และ ๗ ให้แก่โจทก์ที่ ๑ ต่อมาโจทก์ที่ ๑ โอนที่ดินแปลงที่ ๗ ให้โจทก์ที่ ๒ ในการซื้อขายทั้งสองรายนี้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนายใหญ่ว่าให้โจทก์ทั้งสองและบริวารตลอดจนบุคคลอื่นใช้ทางเดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินแปลงที่ ๑ ออกสู่คลองอันเป็นทางสาธารณะได้โจทก์ทั้งสองใช้ทางดังกล่าวตลอดมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว จำเลยปิดกั้นทางเดินดังกล่าวขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินกว้าง ๑ เมตรนับจากที่ดินของโจทก์ที่ ๑ จนจดคลองเพื่อให้โจทก์และบริวารพร้อมทั้งบุคคลภายนอกใช้ทางได้สะดวก ให้จำเลยจดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดินเพื่อให้ทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นหรือเป็นทางภารจำยอม หากไม่ปฏิบัติให้ถือคำสั่งศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางจำเป็นและไม่ใช่ทางภารจำยอมนายใหญ่ไม่เคยยอมให้โจทก์ผ่านที่ดินจำเลย โจทก์เข้าอยู่ในที่ดินไม่ถึง ๑๐ ปีและมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทาง ที่ดินของโจทก์ที่ ๒ ไม่ติดทางพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ใช้ทางพิพาทไม่ถึง ๑๐ ปี ไม่ตกเป็นทางภารจำยอม แต่ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางเดินพิพาท คำขอนอกนั้นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางจำเป็น ขอให้ยกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ แต่แก้อุทธรณ์และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ส่วนที่โจทก์แก้อุทธรณ์และขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมด้วยนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ฎีกาว่าใช้ทางพิพาทมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว จึงได้สิทธิทางภารจำยอมขอให้วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมด้วย เพื่อโจทก์จะได้นำไปจดทะเบียนสิทธิตามกฎหมายต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ตั้งประเด็นมาในฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและเป็นทางภารจำยอม และมีคำขอให้จำเลยจดทะเบียนต่อสำนักงานที่ดินเพื่อให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือเป็นทางภารจำยอม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทไม่ถึง ๑๐ ปีจึงไม่ตกเป็นทางภารจำยอม แต่ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ จึงพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาท คำขออื่น ๆ ให้ยก หากโจทก์เห็นว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกิน๑๐ ปี จึงได้สิทธิทางภารจำยอมเพื่อโจทก์จะได้นำไปจดทะเบียนสิทธิของโจทก์ โจทก์ก็จะต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวินิจฉัยไม่ถูกต้องอย่างไร แต่โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้นประเด็นในเรื่องทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยได้อีก
ให้ยกฎีกาของโจทก์

Share