แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนซึ่งไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์มาแต่แรกนั้น เมื่อได้มีการปิดอากรในชั้นพิจารณาครบถ้วนเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จก่อนสืบพยานจำเลยแล้ว ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ การรับผิดเสียอากรเพิ่มตามมาตรา 113, 114 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นส่วนหนึ่งต่างหากกับการปิดอากรตามปกติ
(อ้างฎีกาที่ 184/2495)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาที่จำเลยที่ ๑ ยกตลาดสดและห้องแถว ๑๗ ห้อง ที่จำเลยที่ ๑ สร้างขึ้นไว้ในที่ดินของจำเลยที่ ๒ ให้แก่จำเลยที่ ๓ เพื่อประสงค์ฉ้อฉลหนี้ค่าไม้ที่จำเลยที่ ๑ ค้างโจทก์อยู่ และให้จำเลยทั้งสามร่วมใช้หนี้ค่าไม้ให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ รับว่าเป็นหนี้จริง และไม่ได้โอนห้องให้จำเลยที่ ๒,๓
จำเลยที่ ๒,๓ ปฏิเสธไม่รับรู้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์จริงหรือไม่ และอ้างว่ารับโอนห้องไว้โดยสุจริต
ศาลชั้นต้นฝ่ายข้างมากพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์จริงให้ชำระ ส่วนจำเลยที่ ๒ และ ๓ โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ามีส่วนรับผิดในเรื่องเงินติดค้างอย่างใด จึงไม่ต้องร่วมชำระและเห็นว่าจำเลยที่ ๑ โอนห้องให้จำเลยที่ ๓ เป็นการฉ้อฉล ให้เพิกถอนเสีย
อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ เห็นแย้งในเรื่องหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องว่าใบมอบอำนาจพึ่งปิดอากรแสตมป์เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว และโจทก์ไม่ได้เสียค่าเพิ่มอากรตามมาตรา ๑๑๓,๑๑๔ แห่งประมวลรัษฎากร รับฟังเป็นหลักฐานไม่ได้อำนาจฟ้องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลยกขึ้นได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๒ (๕) เห็นควรยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ และ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ใบมอบอำนาจซึ่งมิได้ปิดอากรแสตมป์มาแต่ต้นนั้นเมื่อต่อมาได้ปิดให้ถูกต้องก็ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ไม่จำต้องเสียเงินเพิ่มอากรก่อนดังจำเลยอ้าง เพราะตามมาตรา ๑๑๘ แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า “ตราสารใดมิได้ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีกหรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้ และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา ๑๑๓ และมาตรา ๑๑๔” ฉะนั้น การที่จะต้องรับผิดเสียอากรเพิ่มขึ้น จึงเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก เทียบได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๘๔/๒๔๙๕
พิพากษายืน