แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์เพื่อทำไร่จำนวน 430 ไร่ และได้ชำระค่าเช่าไปแล้ว ต่อมาโจทก์ได้นำที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่งจำนวน24 ไร่เศษ ไปขายแก่ น. ซึ่ง น. ไม่ยินยอมให้จำเลยเข้าทำไร่ในที่ดินส่วนดังกล่าว จำเลยได้ขอบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินทั้งหมดรวมทั้งขอให้โจทก์คืนค่าเช่า แต่โจทก์ต่อรองขอคืนค่าเช่าเฉพาะส่วนที่ดินที่นำไปขายแก่ น. จึงตกลงเกี่ยวกับการคืนเงินค่าเช่าไม่ได้ หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าอีก นอกจากนี้โจทก์ยังได้นำที่ดินที่ให้จำเลยเช่าดังกล่าวนอกจากส่วนที่ขายให้แก่ น. แล้ว ให้บุคคลอื่นอีกหลายรายเช่าทำประโยชน์ ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาเช่าโดยปริยายแล้ว เป็นผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 โจทก์ต้องคืนค่าเช่างวดที่จำเลยยังมิได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าให้แก่จำเลย.
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกคู่ความเป็นโจทก์จำเลยตามคดีสำนวนแรก
โจทก์สำนวนแรกฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินจากโจทก์กำหนดชำระค่าเช่าเป็น 3 งวด จำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์แล้ว 2 งวด แต่งวดที่สามจำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระค่าเช่างวดที่สาม พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 11 มกราคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยสำนวนแรกให้การว่า จำเลยเช่าที่ดินจากโจทก์จริง แต่โจทก์แบ่งขายที่ดินบางส่วนที่จำเลยเช่าไว้ให้แก่ผู้มีชื่อ และผู้มีชื่อเข้าทำประโยชน์ในที่ดินเป็นเหตุให้จำเลยขาดประโยชน์ จำเลยได้บอกเลิกสัญญาและขอคืนค่าเช่าจากโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมคืนให้โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์สำนวนที่สองฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากจำเลยโดยตกลงชำระค่าเช่า 3 งวด เมื่อโจทก์ชำระค่าเช่างวดที่สองไปแล้วโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนไม่ได้ เพราะจำเลยขายที่ดินให้แก่ผู้มีชื่อไปแล้ว โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอค่าเช่างวดที่สองคืน จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยคืนค่าเช่างวดที่สองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่เดือนเมษายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยสำนวนที่สองให้การว่า จำเลยไม่เคยแบ่งที่ดินที่เช่าขายให้แก่ผู้อื่น โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่า ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าคืน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 43,090 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน 43,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องสำนวนหลัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้โจทก์ชำระเงิน 43,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีรับฟังได้ว่า โจทก์นำที่ดินเฉพาะส่วนภายในเส้นสีแดงตามเอกสารหมาย ล.1 ที่จำเลยเช่าปลูกอ้อยไปขายให้นายหนุนจริง จำเลยจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่โจทก์ และขอให้โจทก์คืนเงินค่าเช่างวดที่สองที่ได้รับชำระไปคืนให้แก่จำเลย แต่โจทก์จะขอคืนเงินค่าเช่าเฉพาะส่วนที่ได้ขายที่ดินให้ผู้อื่นไป จึงตกลงเกี่ยวกับการคืนเงินค่าเช่าไม่ได้หลังจากบอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยก็มิได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินที่เช่าอีก และโจทก์ยังได้นำที่ดินที่ให้จำเลยเช่าดังกล่าวนอกจากส่วนที่ขายแก่นายหนุนไปแล้วให้บุคคลอื่นอีกหลายรายเช่าทำประโยชน์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ตกลงเลิกสัญญาเช่ากันโดยปริยายแล้วย่อมเป็นผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โจทก์จึงต้องคืนเงินค่าเช่างวดที่สองให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์คืนเงินค่าเช่างวดที่สองแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.