คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนำสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายประมวลรัษฎากรมาตรา 79 ทวิ ให้ถือว่าเป็นการขายสินค้า และให้ถือมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นรายรับ และให้ถือว่าผู้ที่นำสินค้านั้นเข้าในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1
ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายเสร็จแล้วส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นสินค้าในประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า ที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากรมาตรา 79 ทวิ แม้โจทก์จะประกอบการค้าประเภทการค้า 5 การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์และได้เสียภาษีการค้าในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้ว แต่ตามประมวลรัษฎากรซึ่งใช้บังคับขณะเกิดกรณีพิพาท ไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 1 การขายของชนิด 1(ก) โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) อีกด้วย
เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน 2 ประเภทคือประเภทการค้า 1 ชนิด 1(ก) และประเภทการค้า 5 โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้งสองประเภท และไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากแต่เป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร
(วรรค 2 วินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17-18/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในประเภทที่ ๕ คือให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ โดยนำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายแล้วเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉาย ฉายเสร็จเก็บเงินค่าเช่าได้เป็นที่พอใจหรือครบกำหนดแล้วก็จะต้องส่งฟิล์มภาพยนตร์นั้นกลับคืนออกนอกประเทศ แต่เจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าของจำเลยกลับประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าสำหรับประเภทการค้า ๑คือการขายของ ซึ่งไม่ถูกต้อง โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินถูกต้องแล้ว ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้าและผู้ให้เช่าทรัพย์สินการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว
โจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าประเภทการค้า ๕การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในหมวด ๔ภาษีการค้าและได้เสียภาษีการค้าในประเภทการค้าดังกล่าวถูกต้องแล้ว คดีมีปัญหาว่า การที่โจทก์นำเอาฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉาย เสร็จแล้วส่งฟิล์มภาพยนตร์นั้นกลับคืนไปนอกราชอาณาจักรโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้าประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑(ก)อีกด้วยหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยตามประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๐๔ อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะเกิดข้อพิพาทคดีนี้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การนำสินค้าประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร เข้าในราชอาณาจักรโดยมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายแล้วตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ทวิให้ถือว่าเป็นการขายสินค้า และให้ถือมูลค่าของสินค้าดังกล่าวเป็นรายรับ และให้ถือว่าผู้ที่นำสินค้านั้นเข้าในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่เสียภาษีการค้าตาม มาตรา ๗๘ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑ ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วซึ่งโจทก์นำเข้าในราชอาณาจักรเป็นสินค้าประเภทการค้า ๑ชนิด ๑ (ก) แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่นำมาขายหรือผลิตเพื่อขาย จึงถือว่าโจทก์ผู้ที่นำฟิล์มภาพยนตร์เข้ามาในราชอาณาจักรเป็นผู้ประกอบการค้าได้ขายฟิล์มภาพยนตร์ และให้ถือมูลค่าของฟิล์มภาพยนตร์นั้นเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๙ ทวิ โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา ๗๘ ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า ๑ การขายของรายการที่ประกอบการค้า การขายสินค้า (ฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วที่นำเข้า)ชนิด ๑ (ก) สินค้าและวัตถุพลอยได้นอกจากที่ระบุในชนิด ๒ ถึงชนิด ๙ และนอกจากที่ระบุในประเภทการค้าอื่นแล้ว อัตราภาษีร้อยละ ๕ ของรายรับ การที่โจทก์ประกอบการค้าประเภทการค้า ๕ การให้เช่าทรัพย์สินที่มิใช่อสังหาริมทรัพย์(ให้เช่าฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วไปฉาย) ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าในหมวด ๔ ภาษีการค้า และได้เสียภาษีในประเภทดังกล่าวถูกต้องแล้วนั้นตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะนั้นไม่มีบทยกเว้นให้โจทก์นำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรเพื่อให้เช่าฉายได้โดยไม่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า ๑ การขายของชนิด ๑ (ก) ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่มีมติว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้นำเข้าประเภทการค้า ๑ชนิด ๑ (ก) อีกด้วย ฉะนั้น โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าในการนำฟิล์มภาพยนตร์ที่ถ่ายทำแล้วเข้าในราชอาณาจักรในประเภทการค้า ๑ การขายของชนิด ๑ (ก) ดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้ว อีกประเภทหนึ่ง เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าในขณะเดียวกัน ๒ ประเภท คือ ประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑ (ก)และประเภทการค้า ๕ โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าทั้ง ๒ ประเภท การที่โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า ๑ ชนิด ๑ (ก) ด้วย ตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์และข้อต่อสู้ของจำเลย จึงไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน หากเป็นการเสียภาษีแต่ละประเภทการค้าที่โจทก์ได้กระทำในฐานะผู้ประกอบการค้าให้ครบถ้วนตามประมวลรัษฎากร ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน

Share