แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 20(4) คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่พิจารณาสงวนที่ดินตามความต้องการของกรมประชาสงเคราะห์เพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเองได้ โดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินตามความในมาตรา 4, 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช 2478เพราะพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯนั้นแล้วการที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติมอบอำนาจให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดที่ดิน กรมประชาสงเคราะห์จึงมีหน้าที่จัดการที่ดินดังกล่าวนั้นตามมติคณะกรรมการจัดการที่ดินแห่งชาติได้ ถึงแม้ในขณะนั้นจะยังมิได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองก็ตาม
เมื่อที่พิพาทเป็นที่ดินที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับมอบหมายมาดังกล่าวได้ถูกโจทก์กล่าวอ้างโต้แย้งสิทธิว่าเป็นที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่กรมประชาสงเคราะห์ย่อมมีสิทธิที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่นั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิครอบครองที่ดินที่พิพาทโดยซื้อจากนายบุตรดี จำเลยทั้งสี่คนได้บังอาจสมคบกันเอารถแทร็กเตอร์มาไถมันสำปะหลังที่โจทก์ปลูกในที่ดินของโจทก์เสียหาย แล้วปลูกมันสำปะหลังลงแทน ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสี่ขาดนัดยื่นคำให้การ
กรมประชาสงเคราะห์ยื่นคำร้องสอดว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเอง จังหวัดระยอง ซึ่งอยู่ในสังกัดของผู้ร้อง ผู้ร้องได้จัดแบ่งให้จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ซึ่งเป็นสมาชิกคนละ ๒๕ ไร่ ส่วนจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นสมาชิกแต่อาศัยที่ดินของนิคมสร้างตนเองปลูกพืชผลที่ดินที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยที่ ๑, ๒, ๓, ๔ ได้รับจากผู้ร้องปลูกพืชผลเลี้ยงชีพชั่วคราวจำเลยยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ทั้งนี้ โดยคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้ลงมติอนุมัติให้ผู้ร้องสงวนที่ดินเพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยองตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยทั้งสี่ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากนายบุตรดี และได้ครอบครองที่พิพาทโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาว่านิคมสร้างตนเองตั้งขึ้นมาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ประเด็นค่าเสียหายย่อมตกไปพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า การจัดตั้งนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยองไม่ได้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา และไม่ได้กำหนดอาณาเขตที่ดินสงวนหรือหวงห้ามเพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเองเป็นพระราชกฤษฎีกา การสงวนหวงห้ามที่ดินเพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การประกาศเขตสำรวจของกระทรวงมหาดไทยไม่มีผลเป็นการสงวนหรือหวงห้ามที่ดินตามกฎหมายผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิร้องสอด พิพากษากลับว่าที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครองห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดและจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ในปัญหาที่ว่า ผู้ร้องสอดมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีได้หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๒๐(๔) ได้บัญญัติว่าให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่พิจารณาสงวนที่ดินตามความต้องการของทบวงการเมือง กรมประชาสงเคราะห์ผู้ร้องสอดเป็นกรมในรัฐบาล เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติจึงมีอำนาจหน้าที่พิจารณาสงวนที่ดินดังกล่าวตามความต้องการของกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อจัดตั้งนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยองได้ โดยไม่ต้องออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินตามความในมาตรา ๔, ๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๘ เพราะพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๔ ได้บัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าฯ นั้นแล้ว การที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมีมติมอบอำนาจให้กรมประชาสงเคราะห์ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดที่ดิน กรมประชาสงเคราะห์จึงมีหน้าที่จัดการที่ดินดังกล่าวนั้นได้ ถึงแม้ในขณะนั้นทางการจะยังมิได้ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยองก็ตาม การจัดตั้งนิคมเป็นกรณีอีกเรื่องหนึ่งต่างหากเป็นคนละกรณีกับการสงวนหวงห้ามที่ดิน เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับมอบหมายมาดังกล่าว ได้ถูกโจทก์กล่าวอ้างโต้แย้งสิทธิขึ้นมาว่าเป็นที่ดินซึ่งโจทก์มีสิทธิครอบครอง กรมประชาสงเคราะห์ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่นั้นได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่เชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากนายบุตรดีและครอบครองที่ดินที่พิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง