แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยจับผู้ตายลากเข้าไปในบ้านเกิดเหตุแล้วปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงไม่สามารถเข้าไปได้ คงได้ยินเสียงผู้ตายร้องให้ช่วยเหลือสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจึงพังประตูบ้านเข้าไป พบผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดเชือดคอยาวประมาณ30เซนติเมตรลึกถึงกระดูกต้นคอที่ศรีษะมีบาดแผลฉีกขาดยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลก กับมีบาดแผลบริเวณหน้าผากยาวประมาณ 4 เซนติเมตร แสดงว่าจำเลยต้องใช้เวลานานกว่าจะเชือดคอผู้ตายจนมีบาดแผลยาวรอบคอ ทำให้ผู้ตายส่งเสียงร้องเพราะได้รับความเจ็บปวดทรมาน เห็นได้ชัดว่าจำเลยใช้วิธีการโหดร้ายในการฆ่าผู้ตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังนางอารีย์ ไหวจันทร์ ผู้ตาย โดยใช้กำลังประทุษร้าย และใช้อาวุธมีดจี้บริเวณลำคอแล้วลากตัวผู้ตายเข้าไปกักขังไว้ในบ้านเป็นเหตุให้ผู้ตายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยโดยมีเจตนาฆ่าและโดยทารุณโหดร้ายได้ใช้อาวุธมีดฟันที่ศรีษะและหน้าผากและเชือดที่บริเวณลำคอผู้ตายหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 310, 91, 33 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5), 310 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก8 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ประกอบมาตรา 52(2)) ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก4 ปี ฐานฆ่าผู้อื่น คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นมารวมได้อีก (ตามมาตรา 91(3))
โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 8 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และมาตรา 310 วรรคแรก ฐานฆ่าตายโดยเจตนาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังจำคุก 2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาคงจำคุก25 ปี ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำคุก 1 ปี รวมจำคุกจำเลยมีกำหนด 26 ปีริบมีดของกลางข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยใช้อาวุธมีดของกลางเชือดคอและฟันผู้ตายจนถึงแก่ความตาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ซึ่งจำเลยไม่โต้แย้งฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยจับผู้ตายลากเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาถึงไม่สามารถเข้าไปได้ เจ้าพนักงานตำรวจได้ยินเสียงผู้ตายร้องให้ช่วยเหลือสลับกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด จึงพังประตูบ้านเข้าไป พบผู้ตายถูกจำเลยใช้อาวุธมีดเชือดคอยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกถึงกระดูกต้นคอที่ศรีษะมีบาดแผลฉีกขาดยาวประมาณ6 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศรีษะ กับมีบาดแผลบริเวณหน้าผากยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ซึ่งเมื่อได้พิจารณาถึงบาดแผลดังกล่าวตามภาพถ่าย ประกอบลักษณะมีดของกลางแล้ว เห็นว่า จำเลยต้องใช้เวลานานกว่าจะเชือดคอผู้ตายจนมีบาดแผลยาวรอบคอประมาณ 30 เซนติเมตร ขณะดังกล่าวจึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้ตายส่งเสียงร้องเพราะได้รับความเจ็บปวดทรมาน แสดงให้เห็นชัดว่าจำเลยใช้วิธีการที่โหดร้ายในการฆ่าผู้ตายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในปัญหานี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจนำโทษจำคุกของจำเลยในความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังมารวมได้อีก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8