คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จะปรากฎว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดีจำเลยจึงเข้าทำนาพิพาทก็ตามเมื่อในชั้นที่สุดศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาท เป็นของโจทก์แต่เดิมมา จำเลยรับซื้อไว้จากผู้มีชื่อโดยไม่สุจริต และคดีถึงที่สุดแล้วดังนี้ก็เป็นอันว่าจำเลยไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาทแต่ประการใดที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ตลอดมาฉะนั้นการที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทโดยพละการของจำเลยเองจึงเป็นการทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ในนาพิพาท โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

ปรากฎว่า นาพิพาทนี้นาเหรียะขายให้จำเลยโจทก์จึงฟ้องนางเหรียะและจำเลยเป็นคดีหนึ่งก่อนแล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของนางเหรียะ ๆ ขายให้จำเลยชอบแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทรายนี้เป็นของโจทก์ ได้รับมรดกจากมารดาปกครองมา หาใช่ของนางเหรียะไม่การซื้อขายระหว่างนางเหรียะกับจำเลย ถือว่าทำกันโดยไม่การซื้อขายระหว่างนางเหรียะกับจำเลย ถือว่าทำกันโดยไม่สุจริต ไม่มีผลตามกฎหมายคดีถึงที่สุด
บัดนี้โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีอีกว่าในระหว่างที่เป็นความในคดีก่อน จำเลยได้บุกรุกเข้าแย่งทำนาพิพาททำให้โจทก์เสียหายจึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทำนาพิพาทโดยบริสุทธิใจ เพราะจำเลยชนะคดีโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีเดิมว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่เดิมมา จำเลยได้+-ซื้อไว้จากนางเหรียะโดยไม่สุจริต จำเลยจึงไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาทตามสัญญาซื้อขาย แม้ศาลชั้นต้นให้จำเลยชนะคดีแต่ในชั้นสุดจำเลยแพ้คดีก็เป็นอันจำเลยไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาทแต่ประการใด ที่พิพาทคงเป็นของโจทก์ตลอดมา การที่จำเลยเข้าทำาพิพาทโดยพละการของจำเลยเองจึงเป็นการทำละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ในนาพิพาท จึงเป็นการทำละเมิดต่อสิทธิขอโจทก์ในนาพิพาทโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share