คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การขาดแรงงานในครอบครัวเป็นการขาดไร้อุปการะอย่างหนึ่งหากเหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจากการกระทำละเมิดทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีผู้ตายต้องขาดแรงงานในครอบครัวไปด้วย โจทก์ที่ 1 ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้อีก ก่อนตายผู้ตายและโจทก์ที่ 1 ประกอบกิจการร้านอาหารร่วมกับป. โดยผู้ตายทำหน้าที่ดูแลร้านอาหาร ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ทำการงานในครัวเรือนให้แก่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานใน ครอบครัวได้ด้วย ค่าอาหารและเครื่องดื่มเลี้ยงดูแขกที่มาร่วมงานศพกับค่าของและเงินถวายพระภิกษุที่สวดพระอภิธรรมเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการศพ ค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานเป็นหนี้เงินที่จะต้องชำระทันที จำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันกระทำละเมิดซึ่งเป็นวันผิดนัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางจรูญ ยศวิจิตรหรือพะก่าพันธ์หรือผกาพันธ์ผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 เป็นบิดามารดาของผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดประกอบกิจการขนส่งคนโดยสาร จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1โดยเป็นพนักงานขับรถยนต์โดยสารจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยสารในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทแล่นตามรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน เชียงใหม่ บ-6661 ซึ่งมีนางสุพีร์ อุปนันท์เป็นผู้ขับและมีนางจรูญนั่งซ้อนท้ายไประยะกระชั้นชิดพุ่งชนรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย นางสุพีร์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และรถยนต์ได้แล่นทับนางจรูญถึงแก่ความตาย ด้วยผลแห่งการละเมิดที่จำเลยที่ 2 ก่อขึ้นทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายโดยโจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดการศพและทำบุญศพนางจรูญเป็นเงิน 41,137 บาท ค่าขาดแรงงานในครอบครัวเนื่องจากโจทก์ที่ 1 ประกอบกิจการร้านอาหาร โดยมีผู้ตายเป็นผู้ดูแลร้านตลอดจนรับผิดชอบดูแลด้านการเงิน โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาดูแลแทนเสียค่าจ้างเดือนละ 1,700 บาท เป็นเวลา 5 ปีคิดเป็นเงิน 102,000 บาท แต่ขอคิดเพียง 80,000 บาท การที่ผู้ตายถึงแก่ความตายทำให้โจทก์ทั้งสี่ขาดไร้ผู้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์ที่ 1 ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท มีกำหนด 10 ปีเป็นเงินรวม 120,000 บาท แต่ขอคิดเพียง 100,000 บาท โจทก์ที่ 2ยังมีอายุ 7 ปี หากเรียนจบปริญญาตรีต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า250,000 บาท โจทก์ที่ 2 ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะเพียง 100,000 บาทขณะมีชีวิตผู้ตายส่งเสียค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4เดือนละ 1,500 บาท หากผู้ตายไม่ตายแล้วมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องเลี้ยงดูโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 ไปตลอดชีวิตของโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 ขอคิดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ1,500 บาท เป็นเวลา 10 ปี เป็นเงิน 180,000 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสี่เป็นเงิน 501,137 บาท แต่โจทก์ทั้งสี่ขอเรียกจากจำเลยทั้งสองเพียง 500,000 บาท โจทก์ทั้งสี่ทวงถามจำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 500,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดแรงงานในครอบครัว เพราะซ้ำซ้อนกับค่าขาดไร้อุปการะ โจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะ เพราะผู้ตายมิได้อุปการะโจทก์ที่ 3 และโจทก์ที่ 4 ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องมานั้นมากเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องมาเป็นค่าเสียหายสูงเกินฐานะความเป็นอยู่ทางสังคมของผู้ตาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 258,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ จำเลยที่ 1อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าขาดแรงงานในครอบครัวเพราะได้เรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะแล้วนั้น เห็นว่าการขาดแรงงานในครอบครัวเป็นการขาดไร้อุปการะอย่างหนึ่ง หากโจทก์ที่ 1 สามารถนำสืบได้ว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ที่ 1 ต้องขาดแรงงานในครอบครัวไปด้วย โจทก์ที่ 1 ก็สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ได้อีกคดีได้ความว่าก่อนตายผู้ตายและโจทก์ที่ 1 มีกิจการร้านอาหารร่วมกับนางประทุมโดยผู้ตายทำหน้าที่ดูแลร้านอาหาร ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ทำการงานในครัวเรือนให้แก่โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานในครอบครัวได้ด้วย
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ค่าอาหารเลี้ยงดูแขกที่มาร่วมงานศพกับค่าของและเงินถวายพระไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอันจำเป็น และที่กำหนดให้รายการละ 4,000 บาท ก็มากเกินไป รวมทั้งค่าเครื่องดื่มน้ำแข็ง ไม่ควรเกิน 700 บาท นั้น เห็นว่า ตามประเพณีปฏิบัติกันทั่วไปนั้น ในวันสวดพระอภิธรรมจะมีการเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มแก่แขกผู้มาร่วมงานกับต้องถวายของเงินแก่พระภิกษุที่สวดพระอภิธรรมในแต่ละคืนสำหรับวันณาปนกิจศพก็จะมีการถวายผ้าบังสุกุลแก่พระภิกษุมีการเลี้ยงเครื่องดื่มแก่แขกผู้มาร่วมงาน จึงถือได้ว่าค่าอาหารและค่าเครื่องดื่มตลอดจนค่าของและเงินถวายพระภิกษุเป็นสิ่งจำเป็น ในการจัดงานศพของผู้ตายก็ได้ความจากนางประทุมประกอบด้วยบันทึกรายจ่ายเอกสารหมาย จ.6 ว่า มีการสวดพระอภิธรรม 3 คืน แต่ละคืนมีผู้มาร่วมงาน 200-300 คน ในวันฌาปนกิจศพมีผู้มาร่วมงาน 1,000 คนเศษ ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดค่าอาหารให้เป็นเงิน 4,000 บาท ค่าของและเงินถวายพระ4,000 บาท ค่าเครื่องดื่มและน้ำแข็ง 1,500 บาท นั้น นับว่าเหมาะสมแล้ว
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 ไม่ ควรได้ดอกเบี้ยสำหรับค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและการขาดค่าแรงงาน เพราะเป็นเงินที่พึงได้ในอนาคตนั้น เห็นว่าค่าสินไหมทดแทนการขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนการขาดแรงงานนั้น เป็นหนี้เงินที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระทันที จำเลยที่ 1 จึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด ซึ่งในคดีนี้ได้แก่วันที่เกิดการทำละเมิด คือวันที่ 8 มิถุนายน 2529 เป็นต้นไป แต่โจทก์ขอเรียกตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องซึ่งเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 เสียดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share