คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์และไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้หรือสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบรับว่าทำสัญญากู้กับสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่ทำไปเพราะโง่เขลาเบาปัญญาและถูกหลอกลวง ทางนำสืบของจำเลยจึงต่างกับคำให้การรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 6,175,070 บาท จำเลยมีเพียงเงินเดือน เดือนละ 5,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก ถือได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์และได้รับเงินไปในวันกู้ ต่อมาจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่22 มิถุนายน 2524 รับว่าเป็นหนี้โจทก์ 6,175,070 บาท ยอมผ่อนชำระให้รวม 58 งวด หลังจากจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์เพียงสองงวด เป็นเงิน140,000 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาคงค้างชำระต้นเงินโจทก์ 6,035,070 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2524 เป็นเงิน 4,927,262.63บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย แต่ทางนำสืบจำเลยนำสืบรับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้กับสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่ทำไปเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาถูกนายวรทรรศน์หลอกลวง ทางนำสืบของจำเลยต่างกับคำให้การจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ อย่างไรก็ตามทางนำสืบดังกล่าวของจำเลยเจือสมกับพยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้กับทำสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.5 จริง ที่จำเลยนำสืบว่าลงชื่อในสัญญากู้ สัญญารับสภาพหนี้ และสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะโง่เขลาเบาปัญญาถูกนายวรทรรศน์หลอกลวงนั้นฟังไม่ขึ้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.5ดังกล่าว และฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้ผ่อนชำระ 2 งวดแล้วไม่ชำระอีกจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 6,175,070 บาท
จำเลยฎีกาต่อไปว่าจำเลยนำสืบเพื่อให้ได้ความจริงตามพระราชบัญญัติ ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 เป็นการสนับสนุนคำให้การของจำเลยแสดงว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ เห็นว่าการจะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่เป็นเรื่องโจทก์จำเลยต่างมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังไม่ได้ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้อยู่จริง จึงมีข้อพิจารณาต่อไปว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 14 และมาตรา 9 หรือไม่ ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท เป็นหนี้กำหนดจำนวนได้แน่นอนและถึงกำหนดชำระแล้ว กับได้ความต่อไปว่าจำเลยมีเพียงเงินเดือน เดือนละ 5,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกจึงมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้สิน ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่แสดงว่าไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย ศาลย่อมมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share