แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินตาม ส.ค.1 ซึ่งมีชื่อบิดาจำเลยครอบครองมา เป็นที่สาธารณะที่ทางราชการสงวนไว้เป็นทุ่งสำหรับเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน จำเลยเข้าไปแผ้วถางก่นสร้างในที่ดินนั้นโดยเข้าใจว่าจำเลยกระทำได้ เป็นการขาดเจตนาในการกระทำผิดทางอาญา จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่ดินสาธารณประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9,108 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บิดาจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อนพ.ศ. 2498 และก่อนทางราชการสำรวจขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะ และโจทก์นำสืบไม่ได้ความชัดว่าจำเลยบุกรุกที่สาธารณะนอกเขต ส.ค. 1ของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 9,108 วรรค 2 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ข้อ 11 จำคุก 6 เดือน และปรับ 300 บาท ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินสาธารณะ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยได้เข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่พิพาทจริง และเชื่อว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะที่ทางราชการสงวนไว้เป็นทุ่งสำหรับเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน แต่เชื่อตามจำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ที่อยู่ใน ส.ค.1 เอกสารหมาย ล.1 ซึ่งมีชื่อนายเจือง กาวมณี บิดาจำเลยเป็นผู้ครอบครองมา และได้แจ้งการครอบครองในปี พ.ศ. 2498 การที่จำเลยเข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่พิพาทนั้น จำเลยกระทำโดยเข้าใจว่าจำเลยกระทำได้ เป็นการขาดเจตนาในการกระทำผิดทางอาญา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์