คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1808/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(1) นั้นหมายถึงบุคคลประเภทที่ซื้อและขายสินค้าเป็นปกติธุระ. ธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการค้าตามวิธีการของธนาคาร. หาใช่พ่อค้าตามความหมายแห่งอนุมาตรานี้ไม่.จะใช้อายุความ 2 ปีมาปรับแก่คดีไม่ได้.
จำเลยเข้าทำสัญญาค้ำประกัน ยินยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ12 ต่อปีให้แก่ธนาคาร. เมื่อผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ก็ต้องเสียดอกเบี้ยตามอัตรานี้ตลอดไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ.
ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โดยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. เนื่องจากลูกหนี้ล้มละลาย. ศาลก็มีอำนาจที่จะพิจารณาคดีสำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต่อไปได้.จำเลยผู้ค้ำประกันหาพ้นความรับผิดไม่. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688. การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น เป็นเรื่องของโจทก์. เมื่อไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย. โจทก์ก็หมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้รายนี้ได้เท่านั้น. ส่วนจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันอยู่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2505 จำเลยที่ 1 ต้องการซื้อเหล็กเส้นจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่น จึงขอให้โจทก์สั่งซื้อแทนโดยจำเลยที่ 1 ทำใบให้อำนาจเชื่อ (เลตเตอร์ออฟเครดิต) ให้โจทก์ไว้โจทก์สั่งให้ธนาคารตัวแทนโจทก์ซื้อเหล็กเส้นส่งมาทางเรือรวม 11 ม้วนคิดเป็นเงิน 96,639.75 บาท ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2506 จำเลยทำใบรับสินค้าเชื่อ (ทรัสต์รีซีท) ให้โจทก์ยึดถือไว้ โดยสัญญาว่าจะชำระเงินค่าเหล็กเส้นรวมทั้งค่าธรรมเนียม ค่าอากรแสตมป์ค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยคิดถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2506 เป็นเงิน104,768 บาท 48 สตางค์ ให้โจทก์ภายใน 60 วัน โดยจำเลยที่ 2-3เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1 ได้รับเหล็กเส้นนั้นไป จำเลยทั้งผิดนัด ผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์เลย จำเลยทั้งสามจะต้องชำระดอกเบี้ยตามข้อตกลงและตามประเพณีธนาคารอัตราร้อยละ 12 ต่อปีในต้นเงิน 96,639.75 บาท ขอให้ศาลบังคับ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 2-3 ให้การว่า เหล็กเส้นที่สั่งซื้อไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ เป็นเรื่องที่โจทก์สั่งซื้อแทนจำเลยที่ 1 และออกเงินทดรองแทนจำเลยที่ 1 ไป จำเลยที่ 2-3 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 2-3ไม่เคยได้รับการทวงถามจากโจทก์ เมื่อครบ 60 วัน โจทก์ได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ 1 ผ่อนเวลาชำระเงินให้หลายครั้งหลายหน โดยจำเลยที่ 2-3 ไม่รู้เห็นตกลงด้วย จำเลยที่ 2-3 จึงพ้นความผิด ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด กับภายหลังฟ้องนั้นตามกฎหมายเรียกได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี หนี้ขาดอายุความ เพราะนับตั้งแต่ผิดนัดชำระหนี้เกินสองปี เมื่อหนี้ประธานขาดอายุความ ผู้ค้ำประกันก็หมดความรับผิดด้วย จำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและศาลได้พิพากษาล้มละลายแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ต้องฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ก็ไม่มีอำนาจฟ้องผู้ค้ำประกัน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศให้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ พ้นกำหนด 2 เดือนแล้ว โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ หนี้ที่ฟ้องนี้จึงระงับไป ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิทั้งหมด ผู้ค้ำประกันจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ก็มีหน้าที่สืบให้ได้ตามฟ้องเมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ก็ฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินจากจำเลยที่ 1 ทั้งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 27 และ 91 สำหรับจำเลยที่ 2-3 ประเพณีธนาคารพาณิชย์ที่จะคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปีนั้น ย่อมหมายถึงคิดดอกเบี้ยในอัตรานั้นจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ หาใช่ให้คิดได้เพียงวันผิดนัดไม่ โจทก์ไม่ใช่พ่อค้าตามความหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)อายุความฟ้องคดีนี้มีกำหนด 10 ปี หาใช่ 2 ปีไม่ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ แม้จำเลยที่ 1 จะถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วผู้ค้ำประกันก็ยังต้องรับผิด พิพากษาให้จำเลยที่ 2-3 ร่วมกันชำระเงิน 104,768.48 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12ต่อปีในต้นเงิน 96,639.75 บาท นับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2506เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระหนี้โจทก์ครบถ้วน จำเลยที่ 2-3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 2-3 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยดังนี้ (1) พ่อค้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) หมายถึงบุคคลประเภทที่ซื้อและขายสินค้าเป็นปกติธุระธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบกิจการค้าตามวิธีการของธนาคารพาณิชย์ดังคดีนี้ หาใช่พ่อค้าตามความหมายแพ่งอนุมาตรานี้ไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เป็นแบบอย่างไว้แล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1049/2512 ธนาคารแห่งกรุงศรีอยุธยา โจทก์ บริษัทยูไนเต็ดดีเวลลอฟเมนต์ จำกัดกับพวกจำเลย จะใช้อายุความ 2 ปีมาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้ (2) ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่ออ่านโดยตลอดแล้ว จะเห็นได้ว่าได้มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 12 ต่อปี เมื่อผิดนัดชำระหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยตามอัตรานี้ตลอดไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จฎีกาที่ 658-659/2511 รูปเรื่องไม่ตรงกับคดีนี้ (3) คดีนี้ จำเลยทั้งสองรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันจริงและยังไม่มีการชำระหนี้ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1โดยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ 1 ล้มละลายก็ดี ศาลก็มีอำนาจที่จะพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 2-3 ต่อไปได้ การที่ลูกหนี้ตกเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ผู้ค้ำประกันหาพ้นความรับผิดไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688 ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อเจ้าหนี้ทวงถามให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อจำเลยที่ 1ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น เป็นเรื่องของโจทก์ เมื่อไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย โจทก์ก็หมดสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้รายนี้ได้เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2-3ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันอยู่ พิพากษายืน.

Share