คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญานั้น นอกจากศาลรับฟังพยานหลักฐานจากประจักษ์พยานแล้ว พยานแวดล้อมกรณีหรือพยานพฤติเหตุที่บ่งชี้ว่า จำเลยกระทำผิดศาลก็รับฟังได้ด้วย ศาลจึงรับฟังพยานแวดล้อมกรณี และคำรับของจำเลยกับของผู้ร่วมกระทำผิดประกอบพยานอื่นได้ เพราะคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลย ได้ในชั้นพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อ้างจำเลย เป็นพยานเพื่อเค้นเอา ความจริงจากจำเลยมาลงโทษจำเลย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232 แต่ประการใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี, 289 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 14, 15 ให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท 1 เส้น แหวนเพชร1 วง และเงินสด 2,500 บาท แก่ทายาทนางสุรีย์ วัธโนภาส และคืนเงินสด3,500 บาท แก่ทายาทนายธิติชาติหรือปิงโฮง แซ่เตียวหรือตรรศุลวัฒน์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340 วรรคสอง จำคุก 20 ปี และมีความผิดตามมาตรา 289(7) ให้ประหารชีวิต คำรับชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(1) กระทงแรกจำคุก 13 ปี 4 เดือน กระทงที่สองจำคุกตลอดชีวิตเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำเลยคืนสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท1 เส้น แหวนเพชร 1 วง และเงินสดจำนวน 2,500 บาท แก่ทายาทนางสุรีย์วัธโนภาส และเงินสดจำนวน 3,500 บาท แก่ทายาทนายธิติชาติหรือปิงโฮงแซ่เตียวหรือตรรศุลวัฒน์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายบุญเลิศหรือแป้ว ไวยกัน จำเลยที่ 1 นางจันทร์เพ็ญหรือแอ๊ด อันลูกท้าว จำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 785/2526 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา และนายธงชัยอินทรพยุง จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 512/2526 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา (อำเภอปากช่อง) กับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันปล้นทรัพย์สินต่าง ๆ ของนายธิติชาติหรือปิงโอง ตรรศุลวัฒน์หรือแซ่เตียว และนางสุรีย์ วัธโนภาส ทั้งได้ร่วมกันฆ่าบุคคลทั้งสองจริงตามฟ้องปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในชั้นนี้ว่า จำเลยได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยในคดีดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความคงมีแต่พยานแวดล้อมกรณี กล่าวคือ ได้ความจากพันตำรวจตรีฉัตรชัย พูลสวัสดิ์ ว่า เมื่อนางนฤมลแจ้งความแล้วก็ได้สืบสวนโดยสอบถามจากนางนฤมลภรรยานายธิติชาติ และนางสุวรรณาพนักงานบริษัทของนายธิติชาติได้ความว่าในวันเกิดเหตุหลังจากนายธิติชาติและนางสุรีย์ออกจากบ้านไปแล้ว นางจันทร์เพ็ญหรือแอ๊ดได้โทรศัพท์มาสอบถามถึงนายธิติชาติที่ได้นัดพบกันไว้ และเวลา11 นาฬิกา นายธิติชาติได้โทรศัพท์มาหานางนฤมลให้คนนำเงินไปให้ที่บริษัทเดินอากาศไทย จำกัด ดอนเมือง พันตำรวจตรีฉัตรชัยจึงได้สืบหาตัวคนร้ายและสามารถได้ตัวนางจันทร์เพ็ญหรือแอ๊ดมาสอบสวน นางจันทร์เพ็ญให้การพาดพิงถึงนายบุญเลิศหรือแป้ว นายธงชัย และพวกต่อมาจับกุมนายบุญเลิศได้ นายบุญเลิศให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกับนายธงชัย นางจันทร์เพ็ญหรือแอ๊ด และจำเลยวางแผนกันปล้นทรัพย์และฆ่าบุคคลทั้งสอง หลังจากนั้นจึงจับกุมนางจันทร์เพ็ญ นางจันทร์เพ็ญให้การภาคเสธ พันตำรวจตรีธงชัยจึงให้นายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญพาไปชี้ที่เกิดเหตุ จัดทำแผนที่เกิดเหตุ และบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุไว้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายธงชัยได้ ชั้นสอบสวนนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญก็ให้การรับสารภาพ มีรายละเอียดต่าง ๆตั้งแต่คนร้ายได้วางแผนให้นางจันทร์เพ็ญไปลวงนายธิติชาติและนางสุรีย์มาที่โรงแรมซุปเปอร์บริเวณตลาดหมอชิตแล้วร่วมกันปล้นทรัพย์สินต่าง ๆ หลังจากนั้นบังคับให้ขึ้นรถยนต์เบ๊นซ์ของนายธิติชาติ นายธงชัยเป็นคนขับพาไปที่บังกาโลเลขที่ 113 โรงแรมเขาใหญ่และได้ร่วมกันฆ่านายธิติชาติและนางสุรีย์โดยให้กินยานอนหลับก่อนแล้วใช้ผ้าปูที่นอนทำเป็นเชือกรัดคอจนบุคคลทั้งสองถึงแก่ความตายนำศพไปทิ้งที่กิโลเมตรที่ 29 ถนนธนรัชต์ หลังจากนั้นคนร้ายดังกล่าวรวมทั้งจำเลยได้ขับรถยนต์เบ๊นซ์ไปจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของจำเลย และได้ทิ้งรถยนต์เบ๊นซ์ไว้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถดังกล่าวได้เป็นของกลางเห็นว่า คำให้การของนางจันทร์เพ็ญและนายบุญเลิศในชั้นสอบสวนได้ความสอดคล้องต้องกัน แม้ในรายละเอียดเช่นว่า ขณะนำตัวนายธิติชาติและนางสุรีย์เดินทางไปเขาใหญ่ นายธงชัยเป็นผู้ขับรถ นางจันทร์เพ็ญนั่งคู่กับนายธงชัย ส่วนนายบุญเลิศกับจำเลยคุมตัวนายธิติชาติและนางสุรีย์อยู่ที่เบาะหลัง หลังเกิดเหตุแล้วได้ขับรถหนีไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ไปถึงอำเภอหัวไทรเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2525 เวลา9 นาฬิกา ปรากฏว่าสายพานพัดลมขาด ฝาสูบแตก จึงพากันไปว่าจ้างรถสองแถวลากรถไปไว้ปั๊มน้ำมัน ขณะลากรถไปเชือกขาดรถยนต์เบ๊นซ์แล่นเข้าชนท้ายรถคันที่ลาก จึงว่าจ้างรถที่ลากให้นำรถยนต์เบ๊นซ์ไปทิ้งที่วัดแห่งหนึ่ง แล้วโดยสารรถไปลงที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาเวลา 15 นาฬิกา ได้เอาแหวนเพชรไปขายได้เงิน 15,000 บาท คืนนั้นพักค้างคืนที่โรงแรมที่อำเภอหาดใหญ่ โดยนายธงชัยนอนกับนางจันทร์เพ็ญห้องหนึ่ง นายบุญเลิศนอนกับจำเลยอีกห้องหนึ่ง รุ่งเช้าวันที่ 11มกราคม 2525 นายธงชัยกับนางจันทร์เพ็ญนำของเข้ากรุงเทพฯ ก่อน ส่วนนายบุญเลิศกับจำเลยได้แวะเยี่ยมบ้านของจำเลยที่จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งรายละเอียดดังกล่าวบุคคลที่ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ไม่อาจปรุงแต่งได้เช่นนี้ ทั้งศาลจังหวัดนครราชสีมาได้พิพากษาว่า นายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 785/2526 ของศาลจังหวัดนครราชสีมาได้กระทำผิดจริง คดีถึงที่สุดแล้วส่วนนายธงชัยนั้นศาลจังหวัดนครราชสีมา (อำเภอปากช่อง) ได้พิพากษาว่ากระทำผิดจริงศาลฎีกาได้พิพากษายืน ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1839/2529 เมื่อจับกุมจำเลย ร้อยตำรวจโทสุรโชค วิเศษจิตร์ เบิกความว่า จับกุมจำเลยตามหมายจับที่ 10/2525 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525 ออกโดยเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมานอกจากนี้ก่อนไปจับกุมจำเลย ร้อยตำรวจโทสุรโชคได้เดินทางไปหานายบุญเลิศเพื่อสอบถามนามสกุลและที่อยู่ของจำเลย ซึ่งได้ความตรงกับที่สายลับรายงานมา เมื่อได้ความแล้วจึงจับกุมจำเลยได้ ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดคดีนี้จริง ปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย ป.จ.2 (ศาลอาญา) ทั้งได้นำจำเลยไปสอบสวนที่กองปราบปราม ได้สอบถามรายละเอียดในการกระทำผิดต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนาย เช่น พลตำรวจตรีบุญชู วังกานนท์ และต่อหน้าสื่อมวลชนต่าง ๆ รวมทั้งนางนฤมลภรรยานายธิติชาติ จำเลยได้ขอขมาต่อนางนฤมลตามภาพในหนังสือพิมพ์มติชน เอกสารหมาย ป.จ.5(ศาลอาญา) ดังนี้ จะเห็นได้ว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ เจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบถามรายละเอียดแห่งคำให้การรับสารภาพคงไม่กล้าขู่เข็ญบังคับต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตลอดทั้งผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อย่างแน่นอน คำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยดังกล่าววอดคล้องกับคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของนายบุญเลิศและนางจันทร์เพ็ญในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 785/2526ของศาลจังหวัดนครราชสีมา เชื่อว่าเหตุการณ์เป็นจริงตามคำรับสารภาพทั้งนี้เพราะได้มีการสอบถามในขณะจับกุมและวันรุ่งขึ้นนับจากวันจับกุม จำเลยไม่มีโอกาสที่จะปรุงแต่งหรือให้การบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่น ครั้นพนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลย จำเลยให้การว่าร่วมอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ถูกนายธงชัยใช้อาวุธปืนบังคับ ทั้งได้บังทึกไว้ว่าจำเลยขอให้การปฏิเสธ และไม่ยอมนำชี้สถานที่เกิดเหตุ แสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจบันทึกให้ตามความต้องการของจำเลย การสอบสวนเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม นอกจากนี้ในชั้นพิจารณา จำเลยยังเบิกความอ้างฐานที่อยู่ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนอย่างชัดแจ้ง คำให้การชั้นสอบสวนสอดคล้องกับคำรับสารภาพในชั้นจับกุมเพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าจำเลยถูกนายธงชัยใช้อาวุธปืนบังคับขู่เข็ญที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นและเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้อง เป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญานั้น นอกจากศาลรับฟังพยานหลักฐานจากปประจักษ์พยานแล้ว พยานแวดล้อมกรณีหรือพยานพฤติเหตุที่บ่งชี้ว่าจำเลยกระทำผิดศาลก็รับฟังได้ด้วย สำหรับคดีนี้ศาลรับฟังพยานแวดล้อมกรณีและคำรับของจำเลยกับของผู้ร่วมกระทำผิดประกอบพยานอื่นได้ เพราะคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยได้ในชั้นพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ทั้งนี้เพราะโจทก์ไม่ได้อ้างจำเลยเป็นพยานเพื่อเค้นเอาความจริงจากจำเลยมาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232แต่ประการใด…”
พิพากษายืน.

Share