คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1807/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5. ต่อมาร้างกัน แต่ยังมิได้หย่าขาดจากกัน. ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างร้างกันแม้ยังมิได้หย่าขาดจากกันตามกฎหมายก็ไม่เป็นสินสมรส. เพราะเหตุว่าทรัพย์สินมิใช่ได้มาโดยการอยู่กินสมรสร่วมกัน. หากเป็นโดยฝ่ายหนึ่งหามาได้ตามลำพังและแยกไว้เป็นส่วนตัวแล้ว (อ้างฎีกาที่ 1235/2494,991/2501). เมื่อไม่เป็นสินสมรส. จำเลยก็มีสิทธิยกให้โดยเสน่หาได้. โดยไม่จำต้องรับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นภริยาก่อน.
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าพันบาท. และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คงฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย.และในการวินิจฉัยปัญหานี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน.แต่ข้อเท็จจริงในปัญหาที่ว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างร้างกันหรือไม่. ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยถึง. ศาลฎีกาจึงยังมิอาจที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยได้เพราะข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย. ศาลฎีกาย่อมยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาที่ว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างโจทก์จำเลยร้างกันจริงหรือไม่. แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยแต่งงานเมื่อพ.ศ. 2467 เมื่อ พ.ศ. 2495 โจทก์จำเลยร่วมกันเช่าที่ธรณีสงฆ์ปลูกห้องแถว 3 ห้อง ราคา 3,000 บาท จำเลยทำนิติกรรมยกห้อง 3 ห้องอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยนี้ให้นายประชานายประวิทย์และนางสาวอรุณเมื่อ พ.ศ. 2497 ขอให้พิพากษาเพิกถอนการให้ ฯลฯ จำเลยให้การว่า โจทก์ทิ้งร้างจำเลยไป ไม่เคยกลับมาอยู่กินร่วมกันจน 20 ปีเศษแล้ว จำเลยจดทะเบียนสมรสกับนางง้อ และร่วมกันปลูกห้องดังกล่าว แล้วยกให้บุคคลทั้งสามดังกล่าว ศาลชั้นต้นหมายเรียกบุคคลทั้งสามดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและจำเลยร่วมให้การอย่างเดียวกับจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการให้ ฯลฯ จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสามฎีกา ในชั้นฎีกามีเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นสั่งรับ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ต่อมาได้ร้างกัน แต่ยังมิได้หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย ปัญหาจึงมีว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างร้างกันหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างร้างกัน แม้จะยังมิได้หย่าขาดจากกันตามกฎหมาย ก็ไม่เป็นสินสมรส เพราะเหตุว่าทรัพย์นั้นมิใช่ได้มาโดยการอยู่กินสมรสร่วมกัน หากเป็นโดยอีกฝ่ายหนึ่งหามาได้ตามลำพังและแยกไว้เป็นส่วนตัวแล้ว ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1235/2494และคำพิพากษาฎีกาที่ 991/2501 เมื่อไม่เป็นสินสมรส จำเลยก็มีสิทธิยกให้โดยเสน่หาได้ โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นภริยาก่อน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน แต่คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าพันบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง คงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย และการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่ข้อเท็จจริงในปัญหาที่ว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างร้างกันหรือไม่นี้ ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยถึง ศาลฎีกาจึงยังมิอาจที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยได้เพราะข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาที่ว่าห้องพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างโจทก์จำเลยร้างกันจริงหรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share