คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ได้ความจากพยานโจทก์และจำเลยว่า จำเลยกับผู้เสียหายหนีตาม กันไปเพื่ออยู่กินร่วมกันฉัน สามีภริยา จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317ที่แก้ไขแล้ว
จำเลยให้การรับว่าได้พรากผู้เยาว์ไปตามฟ้องจริง แต่ไม่ได้พรากไปเพื่อการอนาจาร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ที่แก้ไขแล้ว จำคุก 5 ปี คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยได้พรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารอันจะเป็นความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยและผู้เสียหายรักกันแต่บิดาผู้เสียหายไม่ชอบจำเลย ทั้งสองจึงหนีตามกันไปอยู่ด้วยกันที่บ้านเช่าซึ่งมารดาจำเลยเช่าไว้ที่กรุงเทพมหานคร จำเลยเบิกความว่า จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อรับเลี้ยงดูเป็นภริยา นายวงศ์ จัดแก้ว พยานโจทก์ มารดาผู้เสียหายเองก็รับว่า บิดามารดาจำเลยพูดว่าจะมาขอขมา พยานก็ตกลงและยกผู้เสียหายให้ แม้จะได้ความว่าจำเลยเคยมีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่พยานก็เบิกความว่าสืบทราบว่าจำเลยเลิกกับภริยาแล้ว เจือสมคำนายบุญเลิศ ศรีดำ พยานโจทก์ กำนันท้องที่ที่จำเลยเป็นลูกบ้านอยู่ ที่เบิกความว่าจำเลยเลิกกับภริยาก่อนเกิดเหตุจึงน่าเชื่อว่า จำเลยและผู้เสียหายหนีตามกันไปเพื่ออยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร…”
พิพากษายืน.

Share