แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ร.ส.พ.สาขาจังหวัดขอนแก่นดำเนินงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้จัดการ ร.ส.พ.สาขาจังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของ ร.ส.พ.ประจำอยู่ที่สาขาจังหวัดขอนแก่นจำเลยที่2 เป็นเจ้าของรถร่วมที่นำรถยนต์เข้าร่วมกิจการขนส่งสินค้ากับ ร.ส.พ. จำเลยที่ 1 มีหน้าที่รักษาเงินของ ร.ส.พ.สาขาขอนแก่น ได้เบียดบังเอาเงินของ ร.ส.พ.ซึ่งอยู่ในหน้าที่รักษาของจำเลยที่ 1 เอง ด้วยวิธีทำหลักฐานเท็จเบิกจ่ายเงินไป โดยให้จำเลยที่ 2 ทำหลักฐานเท็จยื่นต่อจำเลยที่ 1 ขอเบิกเงินค่าขนส่งสินค้า อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานฯมาตรา 4 ส่วน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานยังได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตในการขอเบิกจ่ายเงินประเภทที่จะต้องขอเบิกจ่ายต่อ ร.ส.พ.สาขาอุดรธานี ด้วยการทำหลักฐานเท็จเสนอขออนุมัติจ่าย จนผู้จัดการ ร.ส.พ.สาขาอุดรธานีหลงเชื่ออนุมัติให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 2 ที่สถานี ร.ส.พ.สาขาอุดรธานี การกระทำของจำเลยที่ 1 ในส่วนนี้เป็นความผิดตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดส่วนนี้ การกระทำผิดของจำเลยหาต้องด้วยมาตรา 8 ด้วยไม่ และเมื่อเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 3, 4, 8, 11 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 86, 83 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินรวม 264,481 บาท 62 สตางค์ แก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
คดีได้ความว่า องค์การ ร.ส.พ. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์รับจ้างขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ทั่วประเทศ การขนส่งมีการใช้รถยนต์ของ ร.ส.พ. และรถยนต์ของเอกชนที่นำเข้ามาร่วมกิจการด้วย ร.ส.พ.มีสาขาทุกจังหวัด ร.ส.พ.สาขาจังหวัดขอนแก่นดำเนินงานอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้จัดการ ร.ส.พ. สาขาจังหวัดอุดรธานี จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของ ร.ส.พ. มีตำแหน่งเป็นพนักงานรับส่งสินค้าประจำอยู่ ร.ส.พ. สาขาจังหวัดขอนแก่น จำเลยที่ 2เป็นเจ้าของรถร่วมที่นำรถยนต์เข้าร่วมกิจการขนส่งสินค้ากับ ร.ส.พ.ในเขตจังหวัดขอนแก่นทั้งประเภทเหมาหลังและประเภทวิธีด่วนและบุหรี่ สำหรับเงินค่าจ้างถ้าเป็นการขนส่งประเภทเหมาหลัง จะได้ค่าจ้างร้อยละ 88 ของเงินค่าขนส่งแต่ละครั้งถ้าเป็นการขนส่งประเภทวิธีด่วนและบุหรี่จะได้ค่าจ้างตามน้ำหนักเป็นกิโลกรัมและคิดตามระยะทางวิธีปฏิบัติการเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจำเลยที่ 2 ต้องออกใบเสร็จรับเงินจำนวนเงินที่ขอเบิกและแสดงหลักฐานการขนส่งสินค้า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ตรวจสอบ การขอเบิกประเภทเหมาหลังใช้แบบพิมพ์ ร.ส.พ.33 การขนส่งประเภทวิธีด่วนและบุหรี่ใช้แบบพิมพ์ ร.ส.พ.8 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำเอกสารเท็จแสดงว่าจำเลยที่ 2 ขนส่งสินค้าทั้งประเภทเหมาหลังและประเภทวิธีด่วนและบุหรี่ โดยขอเบิกเงินค่าขนส่งเท็จจากร.ส.พ. หลักฐานเท็จประเภทเหมาหลัง จำเลยที่ 1 เบิกจ่ายเงินตามแบบพิมพ์ ร.ส.พ.33 ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นผู้อนุมัติจ่ายเงิน โดยจ่ายจากเงินรายได้ประจำวันของ ร.ส.พ. สาขาจังหวัดขอนแก่นที่อยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 รับไป ส่วนหลักฐานเท็จประเภทวิธีด่วนและบุหรี่ จำเลยที่ 1 เบิกจ่ายตามแบบพิมพ์ ร.ส.พ.8 แล้วส่งหลักฐานเท็จนี้ไปขอเบิกเงินเครดิตจากผู้จัดการ ร.ส.พ. สาขาจังหวัดอุดรธานี ผู้จัดการร.ส.พ. สาขาจังหวัดอุดรธานีหลงเชื่อหลักฐานเท็จนั้น จึงได้อนุมัติจ่ายเงินเครดิตให้จำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าว ทำให้ ร.ส.พ. เสียหายเป็นเงิน 233,481 บาท 62 สตางค์และจำเลยทั้งสองได้เก็บเงินค่าจ้างขนส่งสินค้าที่หน่วยราชการจ้างร.ส.พ. สาขาจังหวัดขอนแก่นขนส่งสินค้าไปยังที่ต่าง ๆ หลายครั้งรวมเป็นเงิน 31,000 บาท แล้วจำเลยทั้งสองไม่นำส่งเป็นรายได้ของ ร.ส.พ.ตามระเบียบ กลับเบียดบังยักยอกเอาเป็นของตนเสียโดยทุจริต ทำให้ ร.ส.พ.เสียหายเป็นเงิน 31,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502มาตรา 3, 4, 8, 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 11 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 86, 83 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ซึ่งเป็นกระทงหนัก จำคุก 15 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุก 10 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินรวม 264,481บาท 62 สตางค์ แก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าขนส่งสินค้าจากหน่วยงานที่ว่าจ้างให้ ร.ส.พ. ส่งสินค้าแล้วไม่นำส่งเป็นรายได้ของ ร.ส.พ.กลับเบียดบังเอาไว้เป็นจำนวน 2,380 บาทนั้นเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 244,981 บาท 62 สตางค์แก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ แล้วให้จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวคืนหรือใช้เงิน 2,340 บาทแก่องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ นอกจากนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดจริง และวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นยังไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของร.ส.พ. มีหน้าที่รักษาเงินของ ร.ส.พ. สาขาขอนแก่น ได้เบียดบังเอาเงินของ ร.ส.พ. ซึ่งอยู่ในหน้าที่รักษาของจำเลยที่ 1 เป็นของจำเลย ด้วยวิธีทำหลักฐานการขอเบิกเงินแบบ “ร.ส.พ.33″ เท็จเบิกจ่ายเงินไป และเมื่อได้รับเงินค่าขนส่งสินค้าจากหน่วยงานทีว่าจ้างให้ส่งสินค้าแล้ว จำเลยที่ 1 ก็เบียดบังเอาเสีย การกระทำของจำเลยที่ 1 ทั้งสองประการนี้เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และเฉพาะการเบียดบังเงินด้วยวิธีทำหลักฐานการขอเบิกเงินแบบ”ร.ส.พ.33” เท็จเบิกจ่ายเงินไปในประการแรกเท่านั้นที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำการอันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดด้วย นอกจากการเบียดบังเงินซึ่งอยู่ในหน้าที่รักษาของตนเองแล้ว เกี่ยวกับเงินค่าขนส่งสินค้าประเภทวิธีด่วนและบุหรี่นั้น จำเลยที่ 1 ผู้เป็นพนักงานก็ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการขอเบิกจ่ายเงินโดยทุจริตด้วยการทำหลักฐานเท็จในแบบ “ร.ส.พ.8″เสนอขออนุมัติเบิกจ่ายต่อผู้จัดการ ร.ส.พ. สาขาอุดรธานี จนผู้จัดการ ร.ส.พ. สาขาอุดรธานีหลงเชื่ออนุมัติให้จ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 2 จากเงินเครดิตที่สถานี ร.ส.พ. สาขาอุดรธานีการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 และจำเลยที่ 2 ก็เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวนี้ การกระทำผิดของจำเลยหาต้องด้วยมาตรา 8 ดังที่ศาลล่างปรับบทไว้ด้วยไม่ และเมื่อกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามบทมาตราดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2502 มาตรา 4 และ 11 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามบทมาตราดังกล่าวประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 อันเป็นกระทงหนักที่สุด ให้จำคุก 15 ปี ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามบทมาตราดังกล่าวประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ให้จำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์