คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1801/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาขายลดเช็คเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง กฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 115 เดิมแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อผู้ร้องรับว่าได้ทำสัญญาขายลดเช็คทั้งสองฉบับกับลูกหนี้ แม้สัญญาขายลดเช็คจะลงลายมือชื่อผู้ร้องฝ่ายเดียว ก็มีผลใช้บังคับแก่ผู้ร้องหาได้ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่อย่างใดไม่การที่ผู้ร้องนำเช็คทั้งสองฉบับไปขายลดแก่ลูกหนี้ ผู้ร้องจึงมีความผูกพันที่จะต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คซึ่งบังคับได้อีกส่วนหนึ่งต่างหากจากความรับผิดตามเช็ค ผู้คัดค้านเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คมิใช่ให้รับผิดตามเช็คทั้งสองฉบับซึ่งลูกหนี้เป็นผู้ทรงเช็คจึงนำอายุความเรื่องเช็คมาใช้บังคับไม่ได้ สิทธิเรียกร้องตามสัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ซึ่งมีอายุความ 10 ปี ผู้ร้องได้ทำสัญญาขายลดเช็คกับลูกหนี้ และยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้บริษัทเงินทุนเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินร้อยละ 21 ต่อปี ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านเรียกดอกเบี้ยจากผู้ร้องในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จึงไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอ.เอฟ.ที. จำกัด ลูกหนี้เด็ดขาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คที่ค้างชำระอยู่กับลูกหนี้ พร้อมดอกเบี้ยผู้ร้องได้มีหนังสือปฏิเสธหนี้ดังกล่าว ผู้คัดค้านดำเนินการสอบสวนแล้วได้มีหนังสือยืนยันให้ผู้ร้องชำระหนี้ดังกล่าว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้เป็นหนี้ดังกล่าว สัญญาขายลดเช็คเป็นโมฆะ ลูกหนี้ทำสัญญาขายลดเช็คโดยประสงค์ที่จะเป็นเจ้าหนี้เงินตามเช็คในฐานะผู้ทรงเช็คเท่านั้น สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามเช็คมีอายุความ 1 ปี ขาดอายุความแล้วและการเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี เป็นการเรียกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้สั่งจำหน่ายชื่อผู้ร้องจากบัญชีลูกหนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า สัญญาขายลดเช็คแม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ไม่เป็นโมฆะและมีอายุความ 10 ปี การเรียกร้องของผู้คัดค้านจึงไม่ขาดอายุความดอกเบี้ยที่เรียกร้องอัตราร้อยละ 21ต่อปี เป็นอัตราที่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาขายลดเช็คเป็นสัญญาต่างตอบแทนประเภทหนึ่ง กฎหมายมิได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือ กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 115 เดิม แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อผู้ร้องรับว่าได้ทำสัญญาขายลดเช็คทั้งสองฉบับกับลูกหนี้แม้สัญญาขายลดเช็คตามเอกสารหมาย ค.5 จะลงลายมือชื่อผู้ร้องฝ่ายเดียวก็มีผลใช้บังคับแก่ผู้ร้องหาได้ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่อย่างใดไม่ และการที่ผู้ร้องนำเช็คทั้งสองฉบับไปขายลดแก่ลูกหนี้นั้นผู้ร้องมีความผูกพันที่จะต้องรับผิดตามสัญญาขายลดเช็คซึ่งบังคับได้อีกส่วนหนึ่งต่างหากจากความรับผิดตามเช็ค ผู้คัดค้านได้เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย ค.5 มิใช่ให้ผู้ร้องรับผิดตามเช็คทั้งสองฉบับ ซึ่งลูกหนี้เป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าว ดังนั้น จึงนำอายุความเรื่องเช็คมาใช้บังคับไม่ได้ สำหรับสิทธิเรียกร้องตามสัญญาขายลดเช็คไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม คือมีอายุความ 10 ปี เมื่อสัญญาขายลดเช็คตามเอกสารหมาย ค.5ทำกันเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2528 ผู้คัดค้านเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ในวันที่ 18 มิถุนายน 2530 ยังไม่เกิน 10 ปี คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย ค.8 ข้อ 4ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ให้บริษัทเงินทุนเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินร้อยละยี่สิบเอ็ดต่อปี” และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2527 ผู้ร้องได้ทำสัญญาขายลดเช็คกับลูกหนี้ตามเอกสารหมาย ค.5 เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2528 และยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาที่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยใช้บังคับอยู่ ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านเรียกดอกเบี้ยจากผู้ร้องในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีจึงไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
พิพากษายืน

Share