คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1800/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปลอมใบมอบฉันทะไปโอนโฉนดขายให้ตนเองแล้วจำนองต่อไปผู้รับจำนองไม่มีสิทธิตามสัญญาจำนองต่อเจ้าของเดิมเลย ผู้รับจำนองจะอ้างความประมาทของเจ้าของเดิมให้รับผิดตามสัญญาจำนองไม่ได้
จำเลยในคดีแพ่งอาจยินยอมให้ศาลฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา ซึ่งตนไม่ได้เป็นจำเลยด้วยก็ได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ 1 สมคบกับพวกใช้อุบายหลอกลวงรับโฉนดที่ดิน 11 ฉบับ สำหรับที่ดิน 11 แปลงของโจทก์คือโฉนดเลขที่ 10336 ถึง 10436 เป็นลำดับไปจากโจทก์ ว่าจะเป็นนายหน้าเดินขายที่ดินให้ ครั้นแล้วสมคบกันปลอมหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน 11 แปลงให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 แจ้งเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจต่อหน้าจำเลยที่ 1 ปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจปลอมลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2493 และสำเนาคำแจ้งเท็จลงวันที่ 18 เดือนเดียวกันท้ายฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อคำแจ้งเท็จของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นความจริงจึงได้แก้ทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้ง 11 โฉนดแล้วจำเลยทั้งสองสมคบและสมยอมกันทำการจำนองโดยจำเลยที่ 1 จำนองที่ดินโฉนดที่ 10343 และ 10344 ให้แก่จำเลยที่ 2 ปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองกรรมสิทธิ์ที่ดินลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2493 ท้ายฟ้องจึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดิน 11 โฉนดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และเพิกถอนนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าวนั้นเสียแล้วสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ทะเบียนหลังโฉนด 11 ฉบับให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม

นางองุ่น จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดิน 11 โฉนดแก่จำเลยที่ 1 ถูกต้องตามหนังสือมอบอำนาจ โจทก์ได้มอบโฉนดให้จำเลยที่ 1 ในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อ ไม่ใช่ฐานะเป็นนายหน้าจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน แต่ได้แจ้งตามความจริงและจำเลยที่ 1 ได้ทำกรมธรรม์จำนองที่ดินแก่จำเลยที่ 2 โดยสุจริตมิได้สมคบสมยอมกันดังคำฟ้อง กับต่อสู้ตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยสมคบกับพวกใช้อุบายหลอกลวงโจทก์นั้นมิได้บรรยายว่าพวกของจำเลยคือใคร ทั้งฟ้องของโจทก์ไม่มีวันเดือนปีและสถานที่ซึ่งหาว่าจำเลยกระทำผิด เป็นฟ้องเคลือบคลุมโดยขาดสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา จำเลยไม่สามารถเข้าใจข้อหาได้ชัดแจ้งขออย่าให้ศาลรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา

นายชุบ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่ามิได้สมคบหรือสมยอมกับจำเลยที่ 1 รับจำนองที่ดิน 2 โฉนดนั้น แต่ได้รับจำนองไว้โดยสุจริตและเปิดเผยและเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนการจำนองถูกต้องตามกฎหมายแล้ว กับว่าหากจำเลยที่ 1 ได้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ก็เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์เองที่มอบโฉนดให้จำเลยที่ 1 ไป เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยที่ 2 จะทราบถึงความไม่สมบูรณ์นั้นได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองซึ่งจำเลยที่ 2ผู้เป็นบุคคลภายนอกได้ทำการโดยสุจริต และตัดฟ้องว่าขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิก้าวล่วงมาฟ้องจำเลยที่ 2 ผู้รับจำนองจากจำเลยที่ 1

ทางพิจารณาได้ความว่า เหตุเรื่องนี้พนักงานอัยการได้ฟ้องนางองุ่น จำเลย (และนางสงวน ชูจิตารมย์ โจทก์ ได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย) ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 329/2494 หมายเลขแดงที่ 533/2495 ซึ่งศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฟังว่า นางองุ่น จำเลยได้นำใบมอบฉันทะปลอมชื่อนางสงวนโจทก์ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 11 โฉนดนี้ให้แก่นางองุ่น จำเลย โดยทุจริตและพิพากษาลงโทษนางองุ่นจำเลยไปแล้ว ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฟังข้อเท็จจริงคดีนี้ตามที่ปรากฏในคดีอาญานั้น และวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 11 โฉนดนี้ไม่ตกไปเป็นของนางองุ่นจำเลยที่ 1 การจดทะเบียนนิติกรรมจำนองที่ดิน 2 โฉนด ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ก็ย่อมไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกัน จึงพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 11 โฉนด และนิติกรรมจำนองที่ดิน 2 โฉนดดังกล่าวนั้นเสีย ให้กรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์ตามเดิมทั้ง 11 โฉนด

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนฟังคำแถลงการณ์และประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นพ้องกับศาลทั้งสองว่าข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ฟังเป็นยุติได้ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่า นางองุ่น จำเลยที่ 1 ได้นำใบมอบฉันทะซึ่งปลอมชื่อนางสงวนโจทก์ไปทำการโอนโฉนดที่ดิน 11 ฉบับ ให้แก่ตนเองโดยทุจริต เมื่อนิติกรรมการโอนเกิดขึ้นจากการทุจริตผิดกฎหมายและโจทก์มิได้รู้เห็นด้วย ก็ต้องถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้นเลย ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดิน11 โฉนดนี้จึงคงเป็นของโจทก์อยู่ตามเดิมหาตกไปเป็นของจำเลยที่ 1 ได้ไม่ และเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินรายพิพาทแล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิจะเอาที่พิพาทไปจำนองแก่ใครได้ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนรับจำนองที่พิพาท 2 โฉนดไว้จากจำเลยที่ 1 ผู้ไม่มีสิทธิจะจำนองได้ จึงไม่เกิดผลให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิตามนิติกรรมจำนองนั้น และโดยนัยนี้จึงไม่มีทางที่จำเลยที่ 2 จะอ้างเอาความประมาทของโจทก์มาผูกพันให้โจทก์ต้องรับสำนองตามนิติกรรมจำนองอันมิได้เกิดผลแก่จำเลยที่ 2 นั้นได้

ส่วนข้อตัดฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมก็ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแจ้งชัดอยู่แล้ว ข้อตัดฟ้องของจำเลยที่ 2 ที่ว่ายังไม่ปรากฏว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ยังไม่มีสิทธิ์ฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับจำนองนั้นข้อนี้ก็ไม่มีกฎหมายบังคับไม่ให้ฟ้องผู้รับจำนองรวมไปกับผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์ ข้อตัดฟ้องของจำเลยทั้งสองฟังไม่ได้

ส่วนฎีกาของจำเลยในข้อที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณานั้น ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า โจทก์ไม่ได้ระบุอ้างสำนวนคดีอาญาไว้ในกำหนดก็ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2494 ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันให้รอคดีแพ่งนี้ไว้จนกว่าศาลจะได้พิพากษาคดีอาญา เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกัน และตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 สิงหาคม 2495 โจทก์แถลงขอให้นำสำนวนคดีอาญานั้นมาติดไว้กับสำนวนแพ่งนี้ จำเลยที่ 1 ก็แถลงรับว่าไม่ขัดข้อง ต่อมาเมื่อศาลพิพากษาคดีอาญาแล้ว จำเลยที่ 2 แถลงรับไว้ในกระบวนพิจารณาลงวันที่ 18 กันยายน 2495 ว่า จำเลยที่ 1 ต้องคำพิพากษาในคดีอาญานั้นจริง ดังนี้ ก็เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ยอมรับให้รอฟังข้อเท็จจริงที่ศาลจะพิพากษาคดีอาญานั้นแล้ว จึงเป็นเรื่องที่คู่ความยอมรับข้อเท็จจริงกันส่วนหนึ่ง ซึ่งหาเกี่ยวกับบทบังคับการระบุอ้างพยานของคู่ความฝ่ายใดไม่

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าคำพิพากษาคดีอาญายังไม่ถึงที่สุดก็ปรากฏว่าบัดนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาคดีอาญานั้นเป็นอันถึงที่สุดไปแล้ว

ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่ผูกมัด จำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีอาญาด้วยนั้นก็จริงอยู่แต่ในเรื่องนี้เป็นเรื่องฟังข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ยินยอมที่จะให้รับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังที่จำเลยที่ 2 ได้ให้ถ้อยคำไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังได้กล่าวมาแล้วนั้น จำเลยที่ 2 จะมากลับถ้อยคืนคำในชั้นนี้ไม่มีเหตุผลจะพึงฟัง

จำเลยฎีกาที่แคะไค้ในข้ออื่น ๆ ก็เป็นแต่ในข้อพลความ ไม่เป็นสาระอันใด

คดีนี้ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาพิพากษามาถูกต้องชอบด้วยรูปความแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสองเสียให้จำเลยทั้งสองเสียค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 800 บาท

Share