แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การอนุญาตให้ฎีกาหรือรับรองฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 นั้นจะต้องเป็นคดีที่มีปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218219 และ 220
ฉะนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรม ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ฎีกาในเรื่องเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรมนี้ ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 มาตรา 27-29 จำเลยย่อมฎีกาในปัญหาดังกล่าวไม่ได้ และแม้อธิบดีศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางจะอนุญาตให้ฎีกาได้ ก็ไม่เป็นฎีกาที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 60, และ 268 ให้จำคุก 2 ปี จำเลยมีอายุ 17 ปีเศษลดโทษตามมาตรา 58 ทวิ กึ่งหนึ่ง คงเหลือ 1 ปี แต่ให้รอการลงอาญาไว้ภายใน 5 ปี ตามมาตรา 41
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้เปลี่ยนโทษจำคุก 1 ปี เป็นส่งตัวจำเลยไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรมมีกำหนด 1 ปีตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน มาตรา 31 ข้อ 2 ของกลางริบ
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงอาญา โดยมีอธิบดีศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางอนุญาตให้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221
ศาลฎีกา เห็นว่าการอนุญาตให้ฎีกาหรือรับรองฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 นั้น จะต้องเป็นคดีที่มีปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218, 219 และ 220 แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเด็กและเยาวชนตัดสินให้ส่งตัวจำเลยไปยังโรงเรียนหรือสถานฝึกและอบรมซึ่งไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงเลยทั้งกรณีเช่นนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 มาตรา 27 – 29 ห้ามไม่ให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามไม่รับวินิจฉัย จึงให้ยกฎีกาจำเลย