แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่าสัญญาเลิกกันแล้วหรือไม่กับการนำเอาสัญญาที่เลิกกันแล้วกลับมาใช้ใหม่ตามข้อตกลงในสัญญาใหม่นั้นหาเหมือนกันไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้ตั้งเรื่องการมีข้อตกลงในสัญญาใหม่ให้นำสัญญาที่จำเลยต่อสู้ว่าเลิกกันแล้วกลับมาใช้ใหม่แต่กลับปรากฏว่ามีสัญญาใหม่ดังกล่าวในขั้นสืบพยานจึงย่อมถือได้ว่า โจทก์นำสืบถึงสัญญาใหม่ดังกล่าวนอกฟ้องนอกประเด็นจะรับฟังนำมาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ ๔๒๓๗๔เนื้อที่ประมาณ ๒๐๐ ตารางวา ราคา ๒๖๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์หากผิดสัญญายอมให้โจทก์ปรับ ๔ เท่าของราคาซื้อขาย ทั้งนี้โดยมีจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ติดต่อทำความตกลงในการซื้อขายและลงนามในสัญญาฐานะพยานและผู้ให้ความยินยอมกับเป็นผู้รับเงินมัดจำ ๑๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาโดยสมคบกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๗๔, ๔๒๓๔๔, ๔๒๓๔๗, ๔๒๓๕๕ และ ๔๒๓๗๒รวม ๕ แปลงให้แก่จำเลยที่ ๓ โดยไม่มีค่าตอบแทนโดยเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เมื่อชนะคดี แล้วจำเลยที่ ๓ ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๗๔, ๔๒๓๔๔ และ ๔๒๓๗๓ ให้แก่บุคคลอื่น กับโอนบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๔๗ และ ๔๒๓๕๕ ให้บุคคลภายนอกถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย โจทก์ได้ฟ้องมูลคดีนี้ต่อศาลแพ่งแล้วครั้งหนึ่ง แต่จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ได้ทำความตกลงกับโจทก์ว่าจะโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๗๔ เนื้อที่ ๑๗๓ ตารางวาให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับว่าที่ดินดังกล่าวได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ไว้โดยไม่มีเจตนาโอนขายให้แก่กันโจทก์ขอคิดเงินค่าปรับจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพียง๓๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ ให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๔๗ และ ๔๒๓๕๕ ซึ่งจำเลยที่ ๑ โอนให้แก่จำเลยที่ ๓ เฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๓ กับโฉนดเลขที่๔๒๓๗๔ ที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันโอนให้แก่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ เฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันหรือแทนกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องได้เลิกไปแล้วโดยการทำสัญญาใหม่เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๒ และเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่สามารถชำระค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินซึ่งตามสัญญาใหม่ดังกล่าวโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องและเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ ๑ และขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ โดยสุจริต ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ที่ทำขึ้นหลังการฟ้องคดีแรกนั้นกระทำในขณะที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่มีสิทธิในที่ดินแล้ว จึงตกเป็นโมฆะและฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ส่งเอกสารท้ายฟ้องรวม ๑๖ อันดับให้แก่จำเลยที่ ๓ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ให้การว่า สัญญาจะซื้อขายที่ดินที่โจทก์นำมาฟ้องคดีและบันทึกข้อตกลงฉบับวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๒๓ เกิดจากการที่โจทก์กับจำเลยที่ ๓ สมคบกันฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ยกที่ดินให้จำเลยที่ ๓ โดยชอบ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ไม่เคยทราบถึงนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔ และที่ ๕ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๒ เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าปรับให้โจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๗๔ เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ ๑ ยกให้จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ โอนขายให้แก่จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ให้กลับมาเป็นของจำเลยที่ ๑ดังเดิม
โจทก์อุทธรณ์ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน๓๐๐,๐๐๐ บาท และให้เพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๓๔๗ และ ๔๒๓๕๕ ให้กลับมาเป็นของจำเลยที่ ๑ ด้วย
จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งห้า
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์มีมูลให้บังคับได้หรือไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำสัญญากันรวม ๓ ฉบับ รายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๒ (เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๑) จ.๑๕ (เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๑๐) และ จ.๓๑ตามลำดับ ตามคำฟ้องของโจทก์ประกอบเอกสารท้ายฟ้องไม่มีข้อความตอนใดที่พอจะหยั่งถึงได้ว่ายังมีสัญญาฉบับที่ ๓ (เอกสารหมาย จ.๓๑) อยู่อีกฉบับหนึ่งจำเลยที่ ๑และที่ ๒ ให้การว่าสัญญาตามฟ้องข้อ ๑ (เอกสารหมาย จ.๒) โจทก์กับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ได้ตกลงให้ยกเลิกไปและได้ทำสัญญาขึ้นใหม่เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ข้อพิพาทฟ้องข้อ ๑ ระงับไปแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องตามสัญญาข้อ ๑ (เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๑หรือเอกสารหมาย จ.๒) ได้ ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๒๓ ทนายโจทก์ไปศาล ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อ ๑ ว่า สัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้เลิกกันแล้วหรือไม่ ทนายโจทก์ยอมรับประเด็นดังกล่าวโดยมิได้กล่าวอ้างถึงสัญญาฉบับที่ ๓ ตามเอกสารหมาย จ.๓๑ เลย ถ้าโจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงสัญญาดังกล่าวด้วย ประเด็นก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะสัญญาเลิกกันแล้วหรือไม่กับการนำเอาสัญญาที่เลิกกันแล้วกลับมาใช้ใหม่ตามข้อตกลงในสัญญาใหม่เหมือนกันไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่คู่สัญญาตกลงกันให้กลับไปบังคับตามสัญญาเดิมนั้นไม่ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนย่อมใช้บังคับกันได้แต่แทนที่โจทก์จะตั้งเป็นข้อหามาในคำฟ้องกลับมาปรากฏว่ามีสัญญาดังกล่าวในชั้นสืบพยานดังนี้ย่อมถือได้ว่าโจทก์นำสืบถึงสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๓๑ นอกฟ้องนอกประเด็นจะรับฟังนำมาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน