แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ราคาสินค้าที่โจทก์ที่ 1 นำมาเปรียบเทียบเป็นราคาสินค้าที่จะนำเข้ามาเพียง 2 ชิ้นซึ่งเป็นจำนวนเล็กน้อย จนอาจเรียกได้ว่าเป็นการสั่งซื้อและนำเข้ามาเพื่อใช้เองมากกว่าจะนำเข้ามาเพื่อจำหน่าย จึงรับฟังไม่ได้ว่าเป็นราคาขายส่งเงินสด ตามพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง และ ว.นำเข้ามาเป็นระยะเวลาก่อนที่จำเลยนำเข้ามาเกือบถึง 1 ปี มิใช่เป็นการนำเข้า ณ เวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน อันจะนำมาเปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 นำราคาสินค้าที่ ว.นำเข้ามาเป็นเกณฑ์คำนวณหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แล้วประเมินราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวและย่อมส่งผลให้การประเมินให้จำเลยเสียอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ในส่วนของภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล ซึ่งเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร แม้การประเมินจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30ภาษีส่วนนี้จึงยุติ จำเลยต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามการประเมินที่ยุติไปแล้วนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้นำเครื่องไฟฟ้าสำหรับปรุงอาหารจำนวน 120 ชุด เข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยได้ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า สำแดงราคา 109,509.95 บาท ขอชำระอากรขาเข้า 36,138.28 บาท ภาษีการค้า 33,114.59 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 3,311.46 บาท เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1เชื่อว่าราคาที่สำแดงเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดจึงได้ตรวจปล่อยสินค้าให้จำเลยรับไป ต่อมาเจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจสอบพบว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า ต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงได้ประเมินราคาสินค้าเพิ่มให้ถูกต้องและประเมินภาษีอากรเพิ่มขึ้นเมื่อนำเงินภาษีอากรที่จำเลยชำระแล้วไปหักออกจำเลยจะต้องชำระอากรขาเข้า 22,687.27 บาท ภาษีการค้า 21,213.29 บาท และภาษีบำรุงเทศบาล 2,121.33 บาท รวมเป็นเงิน 46,021.89 บาทเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ที่ 1 แจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ชำระและไม่อุทธรณ์คัดค้านการประเมินภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน จึงต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มภาษีการค้าเป็นเงิน 21,213.29 บาท และเงินเพิ่มภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน 2,121.33 บาท รวมเป็นเงินเพิ่มทั้งสิ้น 23,334.62 บาท รวมภาษีอากรและเงินเพิ่มเป็นเงิน 69,356.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยสำแดงราคาสินค้าตามราคาซื้อขายจำเลยเป็นผู้นำเข้าสินค้าตามฟ้องเป็นรายแรก จะถือเอาราคาที่มีผู้นำเข้ามาใน พ.ศ. 2527 มาเทียบเคียงและประเมินย้อนหลังเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยนำเข้าประเภทเดียวกันและฟ้องในลักษณะเดียวกันศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในประการแรกว่า การประเมินให้จำเลยเสียอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางสาวจรรยา โรจนดิลก เจ้าพนักงานประเมินอากรของโจทก์ที่ 1 ว่า เหตุที่พยานประเมินราคาสินค้าที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นชุดละ 136.50 เหรียญสิงคโปร์ เพราะได้รับหนังสือทักท้วงจากกองศุลกาธิการว่าราคาที่ได้ประเมินเพิ่มเป็นชุดละ 83.20เหรียญสิงคโปร์ไม่ถูกต้อง เนื่องจากสินค้าชนิดเดียวกันมีผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเลขที่ 125-0291 ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 สำแดงราคาไว้ชิ้นละ 105 เหรียญสิงคโปร์ ซึ่งเป็นราคาเฉพาะฝาครอบ เมื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าซึ่งเป็นเครื่องอบอาหารครบชุดแล้ว จึงประเมินราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30 เป็นราคาชุดละ 136.50 เหรียญสิงคโปร์ ดังนี้ เห็นว่าราคาสินค้าที่โจทก์ที่ 1 นำมาเปรียบเทียบเป็นราคาสินค้าที่นางวรรณชลี กรัยวิเชียร นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 และบัญชีราคาสินค้าพร้อมคำแปลเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 13 และ 14 แต่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสิบสอง บัญญัติว่า”คำว่า “ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด” หรือ “ราคา” แห่งของอย่างใดนั้นหมายความว่าราคาขายส่งเงินสด (ในส่วนของขาเข้าไม่รวมค่าอากร)ซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่นำของเข้าหรือส่งของออก แล้วแต่กรณี โดยไม่มีหักทอนหรือลดหย่อนราคาอย่างใด” ดังนั้นจึงไม่อาจนำราคาสินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 มาเปรียบเทียบถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นได้ ทั้งนี้เพราะสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 ระบุว่า มีจำนวน 120 ชุด ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยสั่งซื้อและนำเข้ามาเพื่อจำหน่าย จึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าเป็นราคาขายส่งเงินสด แต่สินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้ามาตามบัญชีราคาสินค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 13 และคำแปลแผ่นที่ 14 ระบุว่ามีเพียง 2 ชิ้น เท่านั้น ซึ่งเป็นการสั่งซื้อและนำเข้ามาเพียงจำนวนเล็กน้อยมากจนอาจเรียกได้ว่าเป็นการสั่งซื้อและนำเข้ามาเพื่อใช้เองมากกว่าจะนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายราคาที่นางวรรณชลีสำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 จึงรับฟังไม่ได้ว่าเป็นราคาขายส่งเงินสดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 2 วรรคสิบสองดังกล่าวข้างต้นยิ่งกว่านั้นยังปรากฏต่อไปด้วยว่าสินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้าตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 15 ระบุว่านำเข้าเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน2525 แต่สินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1ระบุว่านำเข้าเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2526 อันเป็นระยะเวลาห่างกันถึงเกือบ 1 ปีมิใช่เป็นการนำเข้า ณ เวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอันจะนำมาเปรียบเทียบหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามบทนิยามของมาตรา 2 วรรคสิบสองดังกล่าวข้างต้นได้เช่นกัน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 นำราคาสินค้าที่นางวรรณชลีนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้า เอกสารหมาย จ.1แผ่นที่ 15 มาเป็นเกณฑ์คำนวณหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแล้วประเมินราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยนำเข้าเพิ่มขึ้น เป็นราคาชุดละ 136.50เหรียญสิงคโปร์ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 2 วรรคสิบสอง และย่อมส่งผลให้การประเมินให้จำเลยเสียอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นพลอยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในประการต่อไปมีว่าจำเลยต้องเสียภาษีการค้า และภาษีบำรุงเทศบาล รวมทั้งเงินเพิ่มภาษีทั้งสองประเภทนี้ให้แก่โจทก์ที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องคำให้การ และทางนำสืบของคู่ความทุกฝ่าย ข้อเท็จจริงรับกันฟังได้ยุติว่า ในส่วนของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลซึ่งเป็นภาษีอากรฝ่ายสรรพากร จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ภาษีส่วนนี้จึงยุติตามที่เจ้าพนักงานของโจทก์ที่ 1 ได้ประเมินเพิ่มแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเงินเพิ่มภาษีทั้งสองประเภทดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,669.24 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องของโจทก์ที่ 2 ด้วยนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้นส่วนที่จำเลยแก้อุทธรณ์ว่า เมื่อการประเมินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลนั้นก็เห็นว่า ในส่วนของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล แม้การประเมินจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยก็ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่อุทธรณ์จำเลยก็ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามการประเมินที่ยุติไปแล้วนั้นคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวมทั้งเงินเพิ่มภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 46,669.24 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลฎีกาอากรกลาง.