แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 รู้ดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์อยู่ก่อนและรับเงินค่าที่ดินบางส่วนจากโจทก์แล้ว ทั้งสัญญานั้นก็ยังผูกพันอยู่เมื่อจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 เสียเช่นนี้ ถือว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่ดินให้กันระหว่างจำเลยเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา237
ย่อยาว
ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินแก่โจทก์ โดยแบ่งแยกโฉนดเสียก่อน โจทก์ได้เสียเงินค่าทำรั้วถมดินและเสียค่ารังวัดที่ดินไปแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ช.วิฑูร เป็นเงิน 46,000 บาท โจทก์มอบฉันทะให้นายทุ้ยไปทำสัญญาซื้อขายเพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ในนามด.ช.วิฑูร แต่ทางการให้รอไว้ก่อนโดยเหตุที่บิดา ด.ช.วิฑูร เป็นคนต่างด้าว โจทก์รอมานานเกินสมควร โจทก์จึงให้บุตรสาวแจ้งแก่จำเลยที่ 1 ให้จัดการโอนที่ดินแก่นายประวิทย์บุตรเขยโจทก์ตามสัญญาข้อ 7 กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2เสียแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้โดยเสน่หาระหว่างจำเลยเสีย ให้โอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยที่ 1 แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนให้แก่นายประวิทย์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินค้าง 2,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถโอนที่ดินได้ก็ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 165,300 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเงินค่าขาดประโยชน์ 99,600 บาทที่ให้จำเลยที่ 1 ใช้แก่โจทก์ให้ยกเสีย นอกนั้นคงให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างจำเลยไม่ได้นั้น ได้ความว่า จำเลยที่ 2 เป็นเด็กเล็กรับโอนโดยนายทิพย์บิดาซึ่งเป็นผู้แทนซึ่งทั้งนายทิพย์และจำเลยที่ 1 ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์อยู่ก่อนและสัญญานั้นก็ยังผูกพันอยู่มิได้เลิกกันแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 จึงทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ย่อมจะขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกที่ดินให้กันระหว่างจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 237 ได้
พิพากษายืน