คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดซึ่งโจทก์ได้มาโดยเป็นมรดกของบิดา ต่อมาระหว่างโจทก์เป็นผู้เยาว์ มารดาโจทก์ได้ขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลย จำเลยได้เข้าครอบครองแล้ว เมื่อมารดาขายส่วนของโจทก์ไปโดยไม่มีอำนาจ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้เสมอ แต่ถ้าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เสียแล้ว อำนาจติดตามเอาคืนของโจทก์ก็ย่อมหมดไป
แม้การซื้อขายที่ดินระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยจะมิได้รับอนุญาตจากศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(1)(เดิม) ไม่ผูกพันโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายเยื่อนางแบ๊ง นายเยื่อถึงแก่กรรมที่ดินโฉนดที่ 1203 ตกเป็นของนางแบ๊งครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นมรดกตกทอดแก่บุตร 6 คนรวมทั้งโจทก์ เมื่อ พ.ศ. 2507 นางแบ๊งขายที่ดินให้จำเลย โจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมเนื่องจากมีอายุเพียง 9 ปี ขณะนี้โจทก์มีอายุครบ 20 ปีแล้ว เห็นว่าการซื้อขายเป็นการสมยอมกัน โดยจำเลยซึ่งเป็นน้าสะใภ้ของโจทก์รู้ดีว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของ การซื้อขายไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่จำเลยซื้อไปโจทก์ต้องเสียหายขาดประโยชน์ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าว ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิเฉพาะส่วน โดยให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน และให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า นางแบ๊งเป็นเจ้าของที่ดินแต่ผู้เดียว จำเลยซื้อด้วยความบริสุทธิ์เงินที่นางแบ๊งได้รับไปใช้เลี้ยงดูโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินไปและไม่มีสิทธิเรียก เพราะจำเลยเป็นบุคคลภายนอก ได้ซื้อโดยมีค่าตอบแทน จำเลยครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกิน 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์

ก่อนสืบพยาน จำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเยื่อนางแบ๊ง โจทก์ยอมรับว่าที่ดินโฉนดที่ 1203 เดิมมีชื่อนางแบ๊งแต่ผู้เดียวโดยได้รับมรดกจากนายก๊กบิดานางแบ๊งได้ไปจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโดยชอบและมีค่าตอบแทน จำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปี ส่วนค่าเสียหายขอคิดจากกันเป็นเงิน 1,786 บาททั้งสองฝ่าย ขอให้ศาลวินิจฉัยคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์รับว่าการซื้อขายถูกต้องตามกฎหมายแล้วจึงไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมตามฟ้อง จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1203 โจทก์ได้มาโดยเป็นมรดกตกทอดจากนายเยื่อบิดา ต่อมาในระหว่างที่โจทก์ยังเป็นผู้เยาว์ นางแบ๊งได้จดทะเบียนขายที่ดินรวมทั้งส่วนพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยซื้อแล้วได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้วที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยรับซื้อที่พิพาทเป็นการซื้อขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546(1) โดยชัดแจ้ง การซื้อขายจึงไม่ผูกพันโจทก์ และฟังได้ว่าจำเลยซื้อโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่พิพาทคืนได้ตามมาตรา 1336 เห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นเรื่องใช้สิทธิติดตามเอาที่ดินคืนเมื่อได้ความว่านางแบ๊งเอาที่ดินส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไปขายให้จำเลยโดยไม่มีอำนาจ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้เสมอ แต่ถ้าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามมาตรา 1382 เสียแล้ว อำนาจติดตามเอาคืนของโจทก์ก็ย่อมหมดไป เรื่องนี้แม้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินระหว่างนางแบ๊งกับจำเลยมิได้รับอนุญาตจากศาลตามมาตรา 1546(1)(เดิม) ไม่ผูกพันโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมากกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ตามมาตรา 1382 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ และศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยนั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share