คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1799/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับยกให้ที่ดินโดยเสน่หาจากน้าและมารดาซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวมาหลายปีแล้วโดยไม่ได้มุ่งหวังหากำไรเป็นทางค้า แล้วโจทก์ขายไปโดยได้ตัดถนนซอยและแบ่งที่ดินเป็นแปลงเล็กๆ เพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคาดีขึ้นนั้น เป็นการขายที่ดินอันเป็นสมบัติเก่าตามธรรมดาในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ขายที่ดินไปเป็นทางค้าหากำไร อันจะต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรแม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะได้ตั้งบริษัทค้าที่ดินขึ้น ก็จะฟังย้อนหลังว่าการขายที่ดินของโจทก์ก่อนตั้งบริษัทค้าที่ดินเป็นทางค้าหากำไรด้วยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1ได้แจ้งให้โจทก์เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลสำหรับปี พ.ศ. 2497 ถึง 2501 เป็นเงิน 128,156.52 บาท ซึ่งเป็นภาษีสำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ แต่อสังหาริมทรัพย์ที่โจทก์ขายนั้นล้วนเป็นที่ดินที่โจทก์ได้มาโดยมารดายกให้โดยหน้าที่ทางธรรมจรรยา มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรโจทก์ขายที่ดินไปไม่ใช่ในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์อุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คงวินิจฉัยลดเงินภาษีที่เรียกเก็บลงเพียง 19,413 บาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่สมบูรณ์ก็ให้ยกเสีย

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้ที่ดินมาโดยการลงทุนและดำเนินการโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรอันเป็นปกติธุระ กรณีเข้าลักษณะเป็นการค้าซึ่งต้องเสียภาษีการค้า

คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันบางประการและนำสืบพยานเพิ่มเติม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ที่ดินมาและขายไปเป็นการค้าหรือหากำไร มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่โจทก์ได้ที่ดินมาแล้วขายไปเป็นการขายสมบัติเก่า ไม่พอฟังว่าการกระทำของโจทก์เป็นทางค้าหากำไร โจทก์ไม่จำต้องเสียภาษีการค้า พิพากษากลับว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าที่เจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บและให้ยกคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 การประกอบหรือดำเนินกิจการค้าซึ่งจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ว่าด้วยภาษีการค้านั้น ได้ระบุไว้ว่า ประเภทการค้าอันดับที่ 20 คือการขายอสังหาริมทรัพย์ “ได้แก่การขาย ขายฝาก หรือให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหากำไร” ตามบทกฎหมายดังกล่าวผู้ขายจะต้องเสียภาษีการค้าต่อเมื่อการขายนั้นเป็นทางค้าหากำไรประเด็นที่จะต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่โจทก์ขายที่ดินไปนั้นเป็นทางค้าหากำไรซึ่งจะต้องเสียภาษีหรือโจทก์ขายที่ดินไปตามธรรมดาอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งไม่ใช่เป็นทางการค้าและไม่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายดังกล่าวนั้น

ได้ความว่า ที่ดินที่โจทก์ขายไปสำหรับที่ดินโฉนดที่ 4519 ซึ่งน้าชายยกให้โจทก์นั้น น้าชายโจทก์ซื้อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2487 และที่ดินโฉนดที่ 537ซึ่งอยู่ติดต่อกันและมารดาโจทก์ยกให้โจทก์นั้น มารดาโจทก์ซื้อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2488 เพิ่งมีการขอรวมโฉนดแล้วแบ่งแยกเป็นแปลงย่อมเมื่อ พ.ศ. 2497 และเริ่มขายในปีนั้น อันเป็นเวลาภายหลังจากน้าชายและมารดาโจทก์ซื้อที่ดินมาประมาณ 10 ปี ส่วนที่ดินโฉนดที่ 622, 5431 และ 3920 มารดาโจทก์ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2492 ยกให้โจทก์เมื่อ พ.ศ. 2497 และเริ่มขายเมื่อ พ.ศ. 2499 นับแต่ซื้อถึงวันขอแบ่งแยกห่างกัน 6 ปี การที่โจทก์ขายที่ดินที่ได้รับยกให้จากน้าชายและมารดาไปเป็นการขายสมบัติเก่าตามธรรมดาในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ เพื่อเอาเงินมาประกอบกิจการอย่างอื่นโดยไม่ได้ลงทุนซื้อที่ดินดังกล่าวมาเป็นทางค้า จึงฟังได้ว่าโจทก์ขายที่ดินไปไม่ใช่เป็นทางค้าหากำไร เพราะโจทก์ไม่ได้มีเจตนามาแต่เริ่มแรกเป็นทางค้า แม้ก่อนมารดาโจทก์จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์มารดาโจทก์จะแบ่งขายอยู่แล้ว ก็มีผลอย่างเดียวกับโจทก์ขาย เพราะมารดาโจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินมาเพื่อขายหากำไรเป็นทางค้า การที่โจทก์ตัดถนนซอยและแบ่งขายเป็นแปลงเล็ก ๆ ก็เพื่อจะให้ขายที่ดินได้ง่ายและให้ได้ราคาดีขึ้นอันเป็นสมบัติเก่านั้นหาใช่พฤติการณ์ที่จะต้องถือเป็นผลชี้ว่าโจทก์แบ่งขายมุ่งประกอบการค้าไม่ การที่มารดาโจทก์ยกที่ดินให้โจทก์ซึ่งเป็นบุตรคนโตมากกว่าบุตรอื่น ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมารดาที่มีต่อบุตร ไม่เป็นการผิดปกติหรือไม่สุจริตแต่ประการใด เพราะมารดาโจทก์ไม่ได้ยกให้แก่โจทก์คนเดียว ทั้งได้เคยบริจาคทรัพย์เพื่อสาธารณประโยชน์มาเป็นจำนวนมากแล้ว แม้ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2499 โจทก์จะได้ซื้อที่ดินโฉนดที่ 6266 และตั้งบริษัทค้าที่ดินขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2504 แล้วขอแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยเพื่อขายซึ่งเป็นทางค้าหากำไร ศาลฎีกาก็เห็นว่า การที่โจทก์ตั้งบริษัทค้าที่ดินขึ้นภายหลังนั้นแสดงเจตนาของโจทก์ชัดเจนว่า ทำเป็นทางค้าหากำไร จึงได้จัดตั้งบริษัทค้าที่ดินขึ้นส่วนที่โจทก์ขายไปก่อนนั้นเป็นการขายคนละตอนและไม่ใช่เป็นทางค้าหากำไรจะฟังย้อนหลังว่าการขายที่ดินของโจทก์ก่อนตั้งบริษัทค้าที่ดินเป็นทางค้าหากำไรด้วยไม่ได้เพราะผิดความจริง โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า

พิพากษายืน

Share