คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างบริษัทจำเลยที่ 2 บริษัทจำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุไปในธุรกิจของบริษัทจำเลยที่ 2แล้วไปเกิดเหตุขึ้น โดยชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหายและโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวเพื่อเดินทางกลับบริษัทจำเลยที่ 2 ดังนี้ ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ยังอยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
ในกรณีเสียหายแก่ร่างกายนั้น การรักษาพยาบาลในเวลาอนาคต นับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง ศาลคิดค่าเสียหายดังกล่าวให้ได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เมื่อผลของการละเมิดทำให้โจทก์เสียหายถึงทุพพลภาพโจทก์ย่อมเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และ ความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ตามมาตรา 446 ด้วย โจทก์จึงเรียกได้ทั้งสองประการ
การที่โจทก์ฎีกาแต่เพียงว่า โจทก์ขอถือเอาอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นคำฟ้องฎีกาของโจทก์ด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ขณะปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถยนต์บรรทุกโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเสียค่ารักษาพยาบาลนับแต่วันเกิดเหตุจนบัดนี้เป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท และจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อไปอีกอย่างน้อย ๒ ปี ซึ่งต้องเสียค่ารักษาพยาบาลอีกไม่น้อยกว่า ๓๐,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องทุพพลภาพตลอดชีวิต ไม่อาจเดินได้เช่นบุคคลธรรมดา และไม่อาจประกอบอาชีพได้ ต้องขาดรายได้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๓,๕๐๐ บาท และต้องขาดรายได้ในอัตราดังกล่าวต่อไปอีกตลอดชีวิตโจทก์ขอคิดเพียง ๑๐ ปี เป็นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท กับขอคิดค่าเสียหายทางร่างกายและอนามัยเพราะเหตุทุพพลภาพอีกเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหาย ๒๙๘,๕๐๐ บาท โจทก์ได้รับชดใช้ค่ารักษาตัวแล้วบางส่วน เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชดใช้เงิน ๒๙๓,๕๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า มิได้ประมาท โจทก์เป็นฝ่ายประมาทโจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จริง แต่จำเลยที่ ๑ ขับรถไปในธุรกิจนอกทางการที่จ้างโจทก์เป็นฝ่ายประมาททำให้รถของจำเลยที่ ๒ เสียหายเป็นเงิน ๑๕๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้ช่วยค่ารักษาพยาบาลจนโจทก์พอใจแล้ว ค่าเสียหายตามฟ้องเป็นความเท็จ ค่ารักษาตัวที่อ้างมาเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งเรียกค่าซ่อมเป็นเงิน ๑๕๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒ เคลือบคลุมจำเลยที่ ๑ ประมาทฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ไปชนรถโจทก์เสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่ารักษาพยาบาล ๒๕,๐๐๐ บาท ค่ารักษาพยาบาลแต่วันฟ้องต่อไปอีก ๒ ปี เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ค่าขาดรายได้นับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๓,๕๐๐ บาท ค่าขาดประโยชน์รายได้นับแต่วันฟ้องเดือนละ ๙๐๐ บาท ต่อไปอีก ๕ ปี เป็นเงิน ๕๔,๐๐๐ บาท และค่าสินไหมทดแทนการสูญเสียความสามารถในการประกอบการงาน๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๑๓๒,๕๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยให้ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงวันฟ้องโดยลดลงเหลือ ๑๕,๗๐๖ บาท นอกนั้นเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาทเฉี่ยวชนโจทก์ซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของบริษัทจำเลยที่ ๒ บริษัทจำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ขับรถคันเกิดเหตุบรรทุกของไปส่งให้ผู้มีชื่อแล้วเกิดเหตุขณะจำเลยที่ ๑ ขับรถเลี้ยวเพื่อเดินทางกลับบริษัทจำเลยที่ ๒ ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ อยู่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ด้วย
ในปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ในอนาคตอีก ๒ ปีนับแต่วันฟ้อง ซึ่งศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากวันฟ้องแล้วได้ความว่าโจทก์ยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่อมา นอกจากจะต้องทำการผ่าตัดและรักษาบาดแผลต่อไปโจทก์จะต้องไปรักษาที่แผนกกายบำบัดอีกอย่างน้อย ๑ ปีนับว่าเป็นค่าเสียหายโดยตรง และศาลก็คิดค่าเสียหายจำนวนนี้ให้ได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ซึ่งจำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๔
ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ค่าขาดรายได้ในการเสียความสามารถประกอบการงานนับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้อง ศาลกำหนดให้จำเลยใช้ให้โจทก์ ๑๓,๕๐๐ บาท และนับจากวันฟ้องไปอีกเดือนละ ๙๐๐ บาทเป็นเวลา ๕ ปี เป็นเงิน ๕๔,๐๐๐ บาท เป็นการเรียกให้ชดใช้ซ้ำกันกับค่าทุพพลภาพจึงไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ผลของการละเมิดของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์เสียหายโดยทุพพลภาพเช่นนี้ โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบอาชีพได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๔ และความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นยังเข้ากรณีเป็นความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ตามมาตรา ๔๔๖ ด้วย โจทก์จึงเรียกได้ทั้งสองประการ และค่าสินไหมทั้งสองประการนี้ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยให้ชดใช้แก่โจทก์ตามจำนวนที่เห็นได้ว่าพอสมควรแล้ว
ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กล่าวในฎีกาแต่เพียงว่า “โจทก์ขอถือเอาอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีนี้เป็นคำฟ้องฎีกาของโจทก์ด้วย” เท่านั้น มิได้กล่าวคัดค้านโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าวินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายข้อใดตอนใดผิดถูกแต่อย่างใด และเหตุใดโจทก์จึงควรได้ค่าสินไหมทดแทนมากกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้กล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นฎีกาไว้โดยชัดแจ้ง จึงไม่เป็นฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share