คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จะถือว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาได้นั้นโจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นว่า เป็นหนี้ที่ต้องด้วยลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ตาม มาตรา 1482
หากเป็นหนี้ที่ภริยาไปทำขึ้นโดยสามีมิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาต และสามีได้บอกล้างแล้ว เจ้าหนี้จะยึดสินบริคณห์ทั้งหมดมาชำระหนี้มิได้ เจ้าหนี้ต้องขอแบ่งแยกสินบริคณห์ส่วนของภริยาออกชำระหนี้ทางศาล ตามมาตรา 1483ถ้าเจ้าหนี้มิได้ขอแบ่งสินบริคณห์ ศาลจะสั่งแยกไปทีเดียวไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่า โจทก์นำยึดเรือนเลขทะเบียนที่ 240/1 ว่าเป็นของนางเยื้อนจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นภริยาผู้ร้อง ๆ ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ ว่าเป็นสินบริคณห์ จำเลยที่ 1 กู้เงินรายนี้เป็นส่วนตัว ผู้ร้องไม่รู้เห็นยินยอมอนุญาตและได้บอกล้างแล้ว

โจทก์ให้การแก้ว่า ผู้ร้องไม่ใช่สามีจำเลยที่ 1 ได้ละทิ้งไปนานปล่อยให้จำเลยที่ 1 แสดงตนว่าไม่มีสามีแม้เป็นสามีก็ต้องรับผิดด้วยเพราะเป็นหนี้ร่วมกันและผู้ร้องเชิดหรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองว่าเป็นผู้ทำการแทน โจทก์จะได้ขอแยกสินบริคณห์จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ต่อไป

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ถอนการยึด

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เงินกู้รายนี้ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 กู้ไปเพื่ออะไร และโจทก์ก็ไม่สืบให้เห็นว่า เป็นหนี้ที่ต้องด้วยลักษณะข้อใดข้อหนึ่งตาม มาตรา 1482 จึงถือว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องไม่ได้ เมื่อได้ความว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยผู้ร้องซึ่งเป็นสามีไม่ได้ยินยอมอนุญาตและได้บอกล้างแล้ว ก็จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดเรือนพิพาท คดีนี้โจทก์ยึดเรือนพิพาทเพื่อขายชำระหนี้ทั้งหมด หาได้ดำเนินการในทางขอต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ส่วนของจำเลยที่ 1 ออกชำระหนี้โจทก์ตาม มาตรา 1483 ไม่และโจทก์กล่าวไว้ว่า จะร้องขอแยกสินบริคณห์จำเลยที่ 1 ต่อไปภายหลังในชั้นนี้ศาลจะสั่งให้ดำเนินการแบ่งแยกสินบริคณห์ไปทีเดียวไม่ได้เพราะผู้ร้องอาจมีข้อต่อสู้อื่น ๆ อีก

พิพากษายืน

Share