แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินของจำเลยไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นอนุญาต จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นมีผลต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง และสั่งว่าหากติดใจอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาชำระ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย โจทก์ยื่นคำแถลงว่า ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับ ขอให้แจ้งคำบังคับให้จำเลยทราบ ดังนี้แม้คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา ต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าจำเลยจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 (2) จำเลยไม่มีสิทธิ ขอให้ถอนการอายัดเงินดังกล่าว
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้เงินต้นที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยทั้งสองไปพร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องว่า ก่อนพิพาทกันในคดีนี้ จำเลยที่ ๒ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชนะคดี ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งอายัดเงินจำนวนดังกล่าวจนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้อายัดเงินจำนวนดังกล่าว
ต่อมาวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๒ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินของจำเลยต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นอนุญาตวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๒ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษา โดยขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องและสั่งว่าหากยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้นำค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน ๗ วันนับแต่วันทราบคำสั่ง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๔ ครั้นวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถอนการอายัดเงินอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ชนะคดีแล้ว โจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นอายัดเงินของจำเลยต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าคดีถึงที่สุด ต่อมาเจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่าจำเลยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน ๗ วันตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย โจทก์จึงได้ยื่นคำแถลงว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ทราบคำบังคับของศาล เพราะมิได้มาฟังคำพิพากษา ขอให้แจ้งคำบังคับให้จำเลยนำเงินมาชำระให้โจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าบังคับภายใน ๓๐ วันและการส่งคำบังคับถ้าไม่พบตัวและไม่มีผู้ใดรับแทนก็ให้ปิดคำบังคับได้ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๒ ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ ซึ่งอยู่ในระหว่างที่โจทก์ดำเนินการส่งคำบังคับให้จำเลยทั้งสองทราบ ดังนี้ แม้คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังไม่ทราบคำบังคับเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษา ต้องถือว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินของจำเลยไว้ในระหว่างพิจารณาคงมีผลต่อไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเท่าที่จำเลยเพื่อคำบังคับตามคำพิพากษานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๐(๒)จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีสิทธิขอให้ถอนการอายัดเงินดังกล่าว
พิพากษายืน