แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายฝากกระเป๋าถือแก่จำเลยเพื่อเข้าห้องส้วม ขณะผู้เสียหายเข้าห้องส้วมจำเลยได้เปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไปเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทางเหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทางพิจารณาไม่แน่ว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นอยู่ในเขตตำบลปากพนังตามฟ้องหรือแล่นเข้าไปในเขตตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิงซึ่งติดต่อกันแล้วคงได้ความเพียงว่า เหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวไทรดังนี้ ยังไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2504 เวลากลางคืนจำเลยได้บังอาจลักสร้อยข้อมือทองคำหนักหนึ่งบาท ราคา 440 บาทกับธนบัตร 48 บาทของนางแดง ปลอดใหม่ซึ่งกำลังโดยสารอยู่ในเรือประจำทางไป เหตุเกิดที่ตำบลปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
จำเลยให้การปฏิเสธ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ นางแดง ปลอดใหม่ผู้เสียหายกับจำเลยได้โดยสารเรือยนต์ซึ่งเดินรับส่งคนโดยสารระหว่างอำเภอปากพนังกับอำเภอหัวไทร เรือออกจากปากพนังเมื่อเวลาราวทุ่มครึ่ง เรือแล่นไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้เสียหายปวดท้องจึงฝากกระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าถือไว้กับจำเลยแล้วไปเข้าส้วมที่ท้ายเรือระหว่างที่ผู้เสียหายเข้าส้วม จำเลยได้หยิบเอาสร้อยข้อมือทองคำและธนบัตรในกระเป๋าของผู้เสียหายไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ให้จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นยักยอกทรัพย์ไม่ใช่ลักทรัพย์ดังฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหายฝากให้จำเลยดูแลกระเป๋าถือแทนเป็นการชั่วคราว ชั่วระยะเวลาที่ผู้เสียหายเข้าส้วมเท่านั้นผู้เสียหายมิได้เจตนาจะสละการครอบครองให้ จึงถือได้ว่าสร้อยและธนบัตรยังอยู่ในครอบครองของผู้เสียหาย การที่จำเลยลอบเปิดกระเป๋าถือเอาสร้อยกับธนบัตรของผู้เสียหายไป จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า เกิดเหตุระหว่างตำบลบ้านเกิงกับตำบลหูล่องต่างกับฟ้องที่หาว่าเกิดเหตุที่ตำบลปากพนังนั้น ความปรากฏตามคำจำเลยว่า เลยปากคลองท่าพญาไปทางฝั่งตะวันตกเป็นตำบลหูล่อง ฝั่งตะวันออกเป็นตำบลบ้านเกิง นางแดงรู้ตัวว่าของหายเมื่อเรือแล่นไปถึงปากคลองท่าพญา แสดงว่าเกิดเหตุมาก่อนที่เรือจะถึงปากคลองท่าพญาอันไม่แน่ว่าเมื่อขณะเหตุเกิดจะอยู่ในตำบลหูล่องกับตำบลบ้านเกิงดังจำเลยยกล่างอ้าง คงฟังได้เพียงว่าเหตุเกิดในเรือโดยสารซึ่งเดินจากอำเภอปากพนังไปอำเภอหัวไทร อันเป็นสารสำคัญตรงกับฟ้องแม้จะไม่ปรากฏชัดว่าขณะเกิดเหตุเรือแล่นไปถึงตำบลใดก็ตามไม่พอถือเป็นข้อแตกต่างกับฟ้องจนถึงขนาดจะยกฟ้องข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น