แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 4 ของจำเลยทั้งสามอ้างเหตุว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่เดินทางกลับจากอำเภอหาดใหญ่เพราะต้องดูแลหลานอายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ เพื่อให้น้องสะใภ้ของจำเลยที่ 2 ไปทำงาน จำเลยทั้งสามกับทนายจำเลยทั้งสามไม่สามารถที่จะร่วมปรึกษากันถึงรูปคดีและมีความเห็นให้ทนายจำเลยทั้งสามดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ทนายจำเลยทั้งสามจึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายในกำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ เช่นนี้ไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,063,787.35 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ของต้นเงิน 2,018,657.91 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,569,752.61 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้บังคับทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยทั้งสามชำระส่วนที่ขาดแก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นวันที่ 26 มกราคม 2544 จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นครั้งที่สี่มีกำหนด 21 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 ว่าศาลอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์มาเป็นเวลาสมควรแล้ว และตามคำร้องไม่ปรากฏพฤติการณ์พิเศษอันควรจะได้รับการขยายอีก ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง
ระหว่างพิจารณาบริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,608,630.72 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 กันยายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระไปแล้วมาหักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินตามลำดับในวันนั้น ๆ เสียก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2543 จำเลยทั้งสามขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 โดยอ้างว่าเพิ่งได้รับคำพิพากษาและคำเบิกความของพยาน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2543 ครั้นวันที่ 26 ธันวาคม 2543 จำเลยทั้งสามขอขยายระยะเวลาเป็นครั้งที่สอง อ้างว่าจำเลยที่ 2 เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ถูกน้ำท่วมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ยังไม่กลับมาจึงไม่สามารถปรึกษาหารือถึงรูปคดีได้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 12 มกราคม 2544 ต่อมาวันที่ 11 มกราคม 2544 จำเลยทั้งสามขอขยายระยะเวลาเป็นครั้งที่สาม อ้างว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่กลับมาจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไม่อาจปรึกษาหารือถึงรูปคดีและให้ความเห็นเรื่องการอุทธรณ์ได้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ 26 มกราคม 2544 ครั้นถึงวันดังกล่าวจำเลยทั้งสามขอขยายระยะเวลาอีกเป็นครั้งที่สี่ โดยอ้างเหตุเหมือนเดิมว่าจำเลยที่ 2 ยังไม่กลับจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จึงไม่สามารถปรึกษาหารือถึงรูปคดีได้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า มีเหตุสมควรขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสามเป็นครั้งที่สี่หรือไม่ ปรากฏตามคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สี่ของจำเลยทั้งสามอ้างเหตุว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้เดินทางกลับจากอำเภอหาดใหญ่เพราะต้องดูแลหลานอายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ เพื่อให้น้องสะใภ้ของจำเลยที่ 2 ไปทำงาน จำเลยทั้งสามกับทนายจำเลยทั้งสามไม่สามารถที่จะร่วมปรึกษากันถึงรูปคดีและมีความเห็นให้ทนายจำเลยทั้งสามดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ทนายจำเลยทั้งสามจึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายในกำหนดที่ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยทั้งสามดังกล่าวไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้น ไม่อนุญาตขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสามนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์.