คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4159/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้วได้เข้าครอบครองที่ดินและชำระภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาโจทก์จึงได้สิทธิครอบครองเมื่อโจทก์อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองแม้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์เพียงอ้างสิทธิครอบครองใช้ยันกับรัฐไม่ได้เท่านั้นแต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกันโจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินมือเปล่ารวมตลอดทั้งบ้านและสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายบนที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยพร้อมทั้งบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาททั้งแปลงตามฟ้องรวมตลอดทั้งบ้านและสิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลย ปี 2524 จำเลยได้กู้ยืมเงินมารดาโจทก์เพื่อนำมาใช้เป็นทุนทำพืชไร่ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจะมีการชำระหนี้และหักกลบลบหนี้กันทุกปี ในการกู้ยืมมารดาโจทก์ได้ยึดใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ไว้เป็นประกันการชำระหนี้ และเมื่อถูกฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยจึงทราบว่าโจทก์ได้เปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่จากชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินเป็นเอกสารปลอมที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและบ้านของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ500 บาท จนกว่าจำเลยกับบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าว
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งได้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงเชื่อว่าจำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์จริง ข้อเท็จจริงได้ความต่อมาว่าหลังจากที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยแล้ว โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ปรากฏตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.13 และแบบแสดงรายการที่ดินเอกสารหมาย จ.20 โจทก์จึงได้สิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์อนุญาตให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยจะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ แม้จะได้ความว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติก็ตาม โจทก์เพียงอ้างสิทธิครอบครองใช้ยันกับรัฐไม่ได้เท่านั้น แต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อได้ความว่าโจทก์ครอบครองอยู่ส่วนจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษายืน

Share