แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ได้ความจากเอกสารของทางราชการที่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องซึ่งจำเลยที่1ได้ยื่นต่อศาลว่าคดีเดิมศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ร่วมคดีนี้ออกจากที่พิพาทเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ว่าจำเลยที่1ทำผิดฐานบุกรุกโจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1เป็นคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,358, 362, 365
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายบรรจง พันทวี ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ร่วม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ประกอบด้วยมาตรา 86 จำคุก6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานบุกรุกหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ร่วมเช่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 4437 ตำบลชอนสารเดชอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี บางส่วนจากนายเจียม เอี่ยมสะอาดเจ้าของที่ดินคนเดิม ต่อมานายเจียมขายที่ดินดังกล่าวแก่นายสิงห์ชัย คำพู และนางมาลินี คำพู โจทก์ร่วมจึงร้องคัดค้านว่านายเจียมมิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 นายเจียมจึงซื้อที่ดินดังกล่าวคืนมาหลังจากนั้นนายเจียมเสนอขายที่ดินดังกล่าวแก่สำนักงานปฏิรูปที่ดินระหว่างสำนักงานปฏิรูปที่ดินพิจารณาข้อเสนอของนายเจียมนั้นนายเจียมได้ขายที่ดินดังกล่าวแก่นายจร พันทวี นายจรจึงฟ้องขับไล่โจทก์ร่วมออกจากที่ดินดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของนายจรตามเอกสารหมาย จ.3 นายจรอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่ศาลชั้นต้นยกเอาพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 อันเป็นกฎหมายพิเศษขึ้นเป็นข้อวินิจฉัยโดยโจทก์ร่วม(จำเลยในคดีดังกล่าว) มิได้ยกเป็นข้อต่อสู้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ในการยื่นฎีกาของจำเลยที่ 1ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 อ้างส่งเอกสารของทางราชการที่มีเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องแล้ว จึงรับฟังประกอบคดีนี้ได้ ปรากฏข้อเท็จจริงต่อเนื่องจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีตามที่นายจรอุทธรณ์ว่าโจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว) ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ปรากฏตามคำพิพากษาฎีกาที่ 5292/2537 มีผลให้ศาลชั้นต้นต้องพิพากษาใหม่ตามรูปคดีซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นได้พิพากษาใหม่แล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 227/2533 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 โดยวินิจฉัยว่านายจรมีสิทธิบอกกล่าวให้โจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว)ออกจากที่พิพาทได้และมีการบอกกล่าวโดยปริยายเมื่อวันที่ 28เมษายน 2532 แล้ว แต่โจทก์ร่วมไม่ยอมออก เป็นการอยู่ในที่พิพาทโดยละเมิด จึงพิพากษาให้โจทก์ร่วม (จำเลยในคดีดังกล่าว) ออกไปจากที่พิพาทพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกระท่อมและคอกวัวโดยห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาทต่อไป และคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามใบสำคัญแสดงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ถึงที่สุดแล้วลงวันที่ 30 ตุลาคม 2538 ซึ่งมีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นลงลายมือชื่อรับรอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปนับแต่วันที่ 28 เมษายน 2532แล้ว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานบุกรุกเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2536อันเป็นระยะเวลาภายหลังจากโจทก์ร่วมหมดอำนาจครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทแล้ว และโจทก์รวมทั้งโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1เป็นคดีนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2