คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6857/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์จำเลยที่1และที่2โต้เถียงกันว่าจำเลยที่1และที่2ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเองซึ่งไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่1และที่2ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่1และที่2ครบถ้วนแล้วหรือไม่จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนและยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่1ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดศิวะษรมีจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วน และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการวันที่ 6 ตุลาคม 2531 จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์กระบะยี่ห้อดัทสันคันหมายเลขทะเบียน 7ย-3057 กรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ 3ชำระค่าเช่าซื้อ 36 งวด ต่อมาปลายเดือนตุลาคม 2531 จำเลยที่ 1และที่ 2 โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ในราคา155,000 บาท ชำระเงินงวดแรก 46,500 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเดือนละ 4,279 บาท รวม 36 งวด โดยให้โจทก์โอนเงินค่าเช่าซื้อเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 โจทก์ได้รับมอบรถยนต์พิพาทและชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว แจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำเรื่องโอนรถยนต์พิพาทให้โจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 2 เพิกเฉย โจทก์ติดต่อขอให้จำเลยที่ 3 โอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ แต่ได้รับแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าปรับเนื่องจากชำระค่าเช่าซื้อล่าช้าเป็นเงิน 29,525 บาท โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งจำเลยทั้งสามให้ทำการโอนทะเบียนรถยนต์พิพาทให้ จำเลยทั้งสามเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันนำสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์กระบะยี่ห้อดัทสัน หมายเลขทะเบียน 7ย-3057 กรุงเทพมหานคร ไปให้นายทะเบียนรถยนต์ กรมการขนส่งใส่ชื่อโจทก์ และมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำสั่งของศาลแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ใช่คู่สัญญาเช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิโอนการเช่าซื้อ เงินที่โจทก์โอนเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2เป็นการชำระค่าเช่ารถยนต์ชำระหนี้เงินกู้และค่าสินค้าไม่ใช่ค่าเช่าซื้อรถยนต์ โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2โอนทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำรถยนต์พิพาทไปขายหรือโอนให้แก่ผู้อื่น โจทก์รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตจำเลยที่ 3 ไม่ทราบข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และไม่ได้ให้ความยินยอมในข้อตกลงดังกล่าว จำเลยที่ 1และที่ 2 ยักยอกรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ไปขายให้แก่โจทก์และการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้องและบังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และโจทก์คืนรถยนต์พิพาทแก่จำเลยที่ 3 ในสภาพเรียบร้อย ใช้การได้ดี หากไม่คืนขอให้ใช้ราคาเป็นเงิน 155,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันผิดสัญญาจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์พิพาทคืน หรือชดใช้ราคา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 3 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่เสียหายจำเลยที่ 3 ทราบว่า จำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าซื้อแก่โจทก์เพราะโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 3 เพื่อเสียภาษีรถยนต์และทำประกันภัย จำเลยที่ 3 อ้างว่าจะโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่โจทก์ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การที่จำเลยที่ 3ฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์โดยจำเลยที่ 3 มิได้ยินยอมด้วย ถือว่าจำเลยที่ 1ผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นการฟ้องแย้งตั้งข้อพิพาทกับจำเลยที่ 1 และที่ 2จึงขัดต่อกฎหมายเพราะมิได้ฟ้องแย้งโจทก์ หากเป็นการฟ้องแย้งจำเลยด้วยกัน ความจริงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วจำเลยที่ 3 เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริงขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ 1 นำสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 7ย-3057 กรุงเทพมหานคร ไปให้นายทะเบียนรถยนต์ใส่ชื่อโจทก์ และส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจนนาแทน ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 3
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์ในราคา 155,000 บาทโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 เพื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันนำสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทให้นายทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของจำเลยที่ 1และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ใช่คู่สัญญาเช่าซื้อ จึงไม่อาจโอนสิทธิการเช่าซื้อได้เงินที่โจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 นั้นเป็นการชำระค่าเช่ารถยนต์หนี้เงินกู้ และราคาสินค้าในส่วนของจำเลยที่ 3 นั้น คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 3ครบถ้วนแล้ว คงค้างชำระเฉพาะค่าปรับในการชำระหนี้ล่าช้าเท่านั้นเห็นว่า ระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 คงโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนสิทธิการเช่าซื้อให้แก่โจทก์หรือไม่และโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันโอนใส่ชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์พิพาทนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ศาลได้พิพากษาว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทนั่นเอง จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์อันได้แก่ราคารถยนต์นั่นเอง เมื่อปรากฏว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว และแม้จะฟังว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อขาดไป 7,000 บาทเศษ โจทก์ก็พร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่หยิบยกเอาประเด็นเรื่องที่โจทก์ยังชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วนขึ้นมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย ทั้งที่จำเลยที่ 1และที่ 2 หาได้ให้การโต้แย้งว่าการชำระหนี้ค่างวดเกี่ยวกับการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทขาดไปเท่าใดนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยโอนสิทธิการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นค่าเช่ารถยนต์และชำระหนี้มิใช่ค่าเช่าซื้อนั้นก็เท่ากับปฏิเสธอยู่ในตัวว่า โจทก์ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทแต่อย่างใดและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ครบถ้วนแล้วหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน และยกขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share